สวัสดีค่ะ วันนี้ได้สัมภาษณ์พี่พง เป็นพี่ที่จบจากลาดกระบัง แล้วทำงานต่อในวิชาชีพของเรา วันนี้พี่พงมีอะไรมาฝากน้องๆบ้างจากการทำงาน ติดตามต่อได้เลยค่ะ
พี่พงช่วยแนะนำตัวเองหน่อยได้ไหมคะ
ครับ ชื่อนายพงศ์สวัสดิ์ อัศวศิริเลิศ เข้าเรียนเมื่อปี พ.ศ. 2541 จบปี พ.ศ. 2545 รหัส 41025127
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ภาควิชาสถาปัตยกรรม
ทำไมพี่ถึงเลือกเรียนคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ที่ลาดกระบัง
ผมเลือกคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ภาควิชาสถาปัตยกรรม เจ้าคุณทหารฯ ลาดกระบัง อันดับที่ 1 ครับ สาเหตุจำไม่ได้ครับ
พี่ช่วยเล่าเรื่องชีวิตในขณะที่พี่เรียนอยู่ ว่าทำกิจกรรมอะไรบ้าง การเรียนมีลักษณะเป็นอย่างไรบ้าง ความสัมพันธ์กับคณะ
การเรียนที่คณะเป็นเวลาที่ดี สิ่งแวดล้อมที่ดี อาจารย์ที่มีหัวใจป็นผู้ให้ คณาจารย์มีความหลากหลายทำให้ได้รับการสั่งสอนที่ทำให้สามารถไปใช้ในการทำงานได้ดี ซึ่งคณะเรามีจำนวนนักศึกษาไม่มากทำให้รู้จักกันทั้งหมดทุกชั้นปี และ เพื่อนต่างภาควิชา สังคมของสถาปัตย์ลาดกระบังจึงอบอุ่นและเป็นเหมือนครอบครัวเดียวกันซึ่งไม่เหมือนใคร
พี่มีความคิดเห็นอย่างไรกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เกิดขึ้นในคณะเรา มีอะไรบ้างที่แตกต่างกับในสมัยของพี่บ้างคะ
ผมไม่ทราบว่ามีความเปลี่ยนแปลงใดเกิดขึ้นในคณะ
ทัศนคติเกี่ยวกับคณะเรา ในระหว่างที่เรียนอยู่ และเมื่อตอนที่จบไปแล้ว
ตอนที่เรียนอยู่คณะเป็นที่ศึกษาหาความรู้ เป็นบ้าน เป็นสถานที่ที่อยู่แล้วสบายใจ และยังเป็นที่อยู่ของาจารย์ที่เคารพรักหลายท่าน
เมื่อจบแล้วทัศนะคติของผมยังไม่เปลี่ยนแปลง และ อยากกลับไปทำประโยชน์ ให้สังคมที่ผมรักที่สุด
ประสบการณ์ในการทำงานกับการเรียนต่างกันมากน้อยขนาดไหนคะ
แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
การทำงานทุกอย่างต้องตั้งใจ ทำงานด้วยความแม่นยำ มีความรับผิดชอบ ต้องรับฟังความเห็นผู้อื่น เรียนรู้และพัฒนาตนเองตลอดเวลา ต้องทำงานร่วมกับคนมากมาย ไม่มีใครให้อภัยเมื่อทำผิดเหมือนกับที่อาจารย์ให้อภัยกับนักเรียนหรอกครับ
ความเป็น สถาปัตย์ลาดกระบังมีผลอะไรต่อการทำงานของพี่หรือไม่คะ
มีผลมากครับ ผมเป็นคนไม่เก่ง แน่นอน ทำให้ผมต้องขยันมาก อดทนมาก รักการคิด ชอบการเรียนรู้มาก และผมมีเพื่อนที่ดี สถาปัตย์ลาดกระบังสอนผมให้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้และขอบคุณทุกอย่างที่นี่
ตอนนี้พี่ทำงานที่ไหนคะ
ตอนนี้ทำงานกับบริษัท ตัวเองชื่อ NPAAE Co., Ltd. ที่เปิดกับเพื่อนที่เป็นวิศวกรครับ
มีบางวันที่ต้องเข้าสำนักงานที่เคยทำอยู่เพื่อเก็บงานเก่าที่ค้างคาครับ
ช่วยแสดงผลงานที่ได้ทำให้น้องดูได้ไหมคะ
ได้ครับ ส่วนหนึ่งของผลงานที่ทำครับมีหลายแบบตั้งแต่ตอนทำที่บริษัท Palmer & Turner (Thailand) ด้วยครับลองดูผมใส่ Credit ของงานที่ทำกับบริษัทอื่นไว้ นอกนั้นถ้าไม่ได้ใส่จะเป็นงานส่วนตัวครับ
ลักษณะของการทำงานในวิชาชีพของเราเป็นไปในรูปแบบไหนคะ
ต้องฝึกฝนตัวเองอยู่เสมอเนื่องจากการแข่งขันในปัจจุบัน มีมากเหลือเกิน เรียนรู้ได้อย่างไม่มีวันจบสิ้นครับ
คุณสมบัติของการเป็นสถาปนิกที่ดีที่ควรปฏิบัติในสายตาของพี่ควรเป็นอย่างไรคะ
มีความคิดสร้างสรรค์ ขยัน อดทน มีไหวพริบ ชอบการเรียนรู้ ทำแต่สิ่งที่ดี แล้วจะเป็นสถาปนิกที่ดี
อุปสรรคที่เกิดขึ้นในการประกอบวิชาชีพของคืออะไรคะ
อุปสรรคที่เคยเจอคือการที่ได้เจอกับคนที่ไม่เป็นมืออาชีพ ไม่มีจรรยาบรรในการประกอบวิชาชีพ สิ่งนี้ไม่เป็นแค่อุปสรรคในการประกอบวิชาชีพเท่านั้นยัง เป็นอุปสรรคในการพัฒนาวิชาชีพด้วย
คิดว่าวงการสถาปนิกของเราเมื่อเทียบกับต่างประเทศเป็นอย่างไรคะ
ประเทศไทยเป็นเพียงประเทศเล็ก ๆ ประเทศหนึ่งในโลก วงการสถาปนิกเป็นวงการเล็ก ๆ ในประเทศเล็ก ๆ ประเทศเรายังต้องพัฒนาอีกมากครับ ถึงจะทำให้วงการเราเป็นเหมือนต่างประเทศ วงการสถาปนิกต่างประเทศมีพลังที่สามารถขับเคลื่อนโลกได้ครับ และคึกคักมากครับ เคยรู้หรือเปล่า?
คิดยังไงกับวิชาชีพสถาปนิกในอนาคต
คิดว่าอาชีพสถาปนิกเป็นวิชาชีพที่เก่าแก่วิชาชีพหนึ่งของโลก สิ่งก่อสร้างจากอดีตและทรงคุณค่ามาถึงปัจจุบัน เช่น พีระมิด เกิดจากคนในวิชาชีพนี้ทั้งสิ้น วิชาชีพนี้ยังคงเป็นวิชาชีพที่ทรงคุณค่าต่อไปครับ
มีอะไรจะฝากบอกน้องๆลาดกระบังรุ่นใหม่ที่กำลังจะก้าวเข้ามาในวิชาชีพนี้บ้างคะ
ตั้งใจเรียน และทำแต่สิ่งที่ดีนะ
วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2552
วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552
สถาปัตยกรรมยุควิคตอเรียน ปี (1837-1901)
สถาปัตยกรรมยุควิคตอเรียน ปี (1837-1901)
คำนิยามของสถาปัตยกรรมแบบวิคตอเรียนนี้ อาจกล่าวได้ว่า เป็นรูปแบบหนึ่งของงานสถาปัตยกรรม มีอำนาจอยู่ในช่วง ราชินีวิคตอเรีย ครองราชย์ในประเทศอังกฤษ ทำให้เกิดเป็นยุควิตอเรียนขึ้น
โดนในยุคสมัยนี้ได้ฟื้นฟูสถาปัตยกรรมของยุคคลาสิกและกรีก ขึ้นมาอีก แต่ก็ยังคงมีปัญหาเรื่องของการพัฒนารูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่แตกต่างกันขึ้น การฟื้นฟูยุคกิธิคนั้นมีอำนาจและบทบาทมากในช่วงปี ค.ศ.1855-1885 แต่ยังคงมีการฟื้นฟูและการนำเอาสถาปัตยกรรมยุคต่างๆในอดีตกลับมาใช้อีก โดยมีปัจจัยหลักของรูปแบบงาน จพแสดงออกมาในเรื่องของความรักและความอบอุ่นของบ้าน
อังกฤษเป็นผู้นำในการปฏิวัติอุตสาหกรรมในงานจัดแสดงงานครั้งยิ่งใหญ่ในของทั่วโลกในปี ค.ศ.1851 โดยอาคารที่ก่อสร้างขึ้นมาคือ ครัสตัลพาเลซ ออกแบบโดย Sir Joseph Paxton มีจุดประสงค์เพื่อใช้ในการจัดแสดงงานและแสดงศักยภาพทางด้านเทคโนโลยี การออกแบบและการก่อสร้างของประเทศอังกฤษอีกด้วย รูปแบบอาคารเป็นอาคารกระจกโครงสร้างเหล็ก และใช้เทคโนโลยีการก่อสร้างแบบ Prefabrication ซึ่งเป็นการเริ่มต้นของเทคโนโลยีในอนาคต
ลักษณะงานออกแบบของยุควิคตอเรียนที่เป็นที่นิยมมากที่สุดคือ ลักษณะการฟื้นฟูการออกแบบแบบกรีก ซึ่งจเห็นได้ในอาคารสาธรณะขนาดใหญ่ ซึ่งในยุคสมัยนี้บ้านได้มีการออกแบบที่เปลี่ยนแปลงไป โครงสร้างและการก่อสร้างเน้นไปที่งานในรูปแบบของชิ้นส่วนสำเร็จรูป ในประเทศอังกฤษ มีรากฐานทางด้านประวัติศาสตร์ ธรรมชาติ รูปทรแรขาคณิต ทฤษฎี และความชอบในการออกแบบ ในยุควิตอเรียนตอนต้นนั้น ลักษณะการออกแบบยังเป็นได้ในรูปแบบที่เรียบง่าย แต่ภายหลังจากการเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในประเทศ สถาปัตยกรรมก็ได้มีความซับซ้อนมากขึ้น
ในบ้านแบบวิกตอเรียนอาจประกอบไปด้วยรายละเอียดจากหลาย ๆ สไตล์ หลาย ๆ ยุค ดังที่กล่าวข้างต้นมาดัดแปลงใช้ร่วมกัน ซึ่งในสมัยนั้นเป็นที่นิยมมาก เรียกกันว่า "Eclecticism" ซึ่งหมายถึง การเลือกใช้ให้ผสมผสานกลมกลืนตามความเหมาะสม บรรยากาศการตกแต่งภายในบ้านแบบวิกตอเรียน จะเน้นเรื่องความรักบ้านและครอบครัวอบอุ่น ค่อนข้างโรแมนติก เริ่มตั้งแต่ประตูทางเข้า จะทำให้เด่นด้วยการใช้กระจกสี "สเตนกลาส" ประดับแต่งด้วยลวดลายต่าง ๆ เช่น รูปแบบโกธิค แบบดอกไม้ หรืออาจใช้กระจกเจียระไนแต่ละชิ้นประดับเป็นลวดลายงดงาม
ห้องรับประทานอาหารภายในบ้านแบบวิกตอเรียน นิยมเล่นลวดลายมาก และประดับด้วยโคมไฟระย้า ผนังห้องนอนตกแต่งด้วยกระดาษติดผนัง มีบอร์เดอร์คาดโดยรอบเป็นลายใบไม้เน้นฝ้าเพดานห้อง ด้านล่างผนังแต่งด้วยกระดาษติดผนังลวดลายต่างจากผนังท่อนบนมักเป็นลายจำพวกดอกไม้ ริบบิ้น รูปวิว บัวเพดาน และผนังห้องที่ใช้กระดาษปิดผนังสีสด เล่นลวดลายต่าง ๆ กัน ตรงกลางฝ้าติดแป้นไม้แกะสลัก สำหรับห้อยไฟระย้า ประตูทางเข้าบ้านดูโอ่โถง ประดับประดาด้วยกระจกสี (leaded-glass) เป็นรูปทรงเรขาคณิต ได้รับอิทธิพลจากศิลปะญี่ปุ่น ซึ่งนิยมกันมากในสมัยวิกตอเรียน
ในตอนต้นยุค สีสันภายในห้องโดยเฉพาะบริเวณห้องโถงต่อจากทางเข้าจะเป็นสีค่อนข้างหม่น เช่น เทา น้ำเงิน น้ำตาลอมเหลือง สีไม้โอ๊ก หรือแดงเข้ม ต่อมาใช้สีสดมากขึ้น เช่น เทอร์ควอยส์ ม่วงแดง ส้มอ่อน เขียวบรอนซ์ เขียวมะกอก เหลือง ฟ้าหม่น และสีทอง
ภายในห้อง นิยมทำเพดานให้สูงประมาณ 3-4 เมตรกว่า ทำให้ดูสูงโปร่งฝ้าเพดานประดับประดาด้วยปูนปั้นแกะสลักเป็นรูปดอกไม้ หรือเป็นภาพวาดแบบเฟรสโก้ บางทีก็แต่งปิดทับด้วยกระดาษและแผ่นดีบุกอัดลาย และติดไฟระย้า
ผนังห้อง จะตกแต่งปิดทับด้วยกระดาษปิดผนังที่มีลวดลายโดดเด่น มีการแบ่งพื้นห้องส่วนสาม เพื่อตกแต่งด้วยไม้แกะสลักหรือวอลล์เปเปอร์ ที่มีสีสันหรือลวดลายที่ต่างจากส่วนอื่น ๆ ของผนัง บางทีก็ใช้แผ่นไม้มีลวดลายกรุผนังด้านล่าง
นอกจากนี้ ยังนิยมติดกระดาษปิดผนังชนิดที่ติดเป็นขอบโดยรอบ(Borders)การใช้สีทาผนังการวาดลวดลายและการใช้วิธีทำสเตนซิล ก็เป็นที่นิยมเหมือนกัน
เสาห้อง จะเป็นเสาสไตล์คลาสสิกที่ถูกตกแต่งจนบอกไม่ได้ว่ามาจากสไตล์ไหนกันแน่ เพราะเป็นการรวมหลายแบบเข้าไว้ด้วยกัน
พื้นห้องสมัยวิกตอเรียน มักจะใช้พรมปูตลอดทั้งห้องทับไปบนพื้นไม้ ซึ่งถ้าไม่ใช้พรม ก็นิยมวาดรูปลงไปบนพื้นหรือไม่ก็ทำลวดลายแบบสเตนซิล ที่น่าสนใจคือมีการคิดค้นแผ่นลิโนเลียม คล้ายกระเบื้องยางในปัจจุบัน มีลวดลายเป็นรูปทรงเรขาคณิต
นอกจากนี้ มีการใช้เสื่อทอจากพืชสำหรับปูที่เฉลียง มีการใช้กระเบื้องเป็นวัสดุปูที่พื้นบริเวณทางเข้าบ้าน ในพื้นห้องครัวและห้อง
ตัวอย่างงานในยุควิคตอเรียนตอนต้น "Gingerbread House" ในประเทศสหรัฐอเมริกา ปี ค.ศ. 1855
Manchester Town Hall เป็นตัวอย่างของการฟื้นฟูสถาปัตยกรรมกอธิคในยุควิคตอเรียน ตั้งอยู่ใน Manchester ประเทศอังกฤษ
ตัวอย่างงานสถาปัตยกรรมวิคตอเรียนในประเทศไทย
พระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียร
พระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียร องค์ปัจจุบัน
บริเวณด้านข้างของพระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียร องค์ปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียรขึ้นเมื่อวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2420 โดยโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศวรฤทธิ์เป็นผู้ออกแบบ[2] โดยพระราชทานเงิน 70 ชั่ง หรือประมาณ 5,600 บาท ทุกปีในฤดูฝน พระองค์จะเสด็จมาประทับที่พระที่นั่งองค์นี้ปีละ 3 ครั้ง
พระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียรเป็นพระที่นั่งเรือนไม้ 2 ชั้น มีสถาปัตยกรรมแบบชาเล่ย์ของสวิตเซอร์แลนด์ โดยทาสีเขียวอ่อนและสีขียวแก่สลับกันทั้งองค์ ประดับประดาไปด้วยลวดลายฉลุไม้แบบยุโรปที่แสนงดงาม มีระเบียงแล่นโดยรอบพระที่นั่ง ภายในมีการตกแต่งแบบยุโรปด้วยเครื่องเรือนฝรั่งเศสสมัยพระเจ้านโปเลียนที่ 3 ที่เข้าชุดกันทั้งหมด พระที่นั่งองค์นี้ถือได้ว่าเป็นพระที่นั่งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดปรานมากที่สุด
เมื่อปี พ.ศ. 2433 แกรนด์ดุ๊กซาร์วิตส์แห่งรัสเซีย (พระยศขณะนั้น) ได้เสด็จเยือนประเทศไทย พระบามสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้พระที่นั่งองค์นี้เป็นที่ประทับของแกรนด์ดุ๊กซาร์วิตส์ และในปี พ.ศ. 2452 ยังใช้เป็นที่ประทับของดยุคโยฮัน อัลเบรตแห่งเยอรมันด้วย[1]
ในวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2481 ได้มีการบูรณะซ่อมแซมพระที่นั่งต่าง ๆ ในพระราชวังบางปะอิน ขณะดำเนินการทาสีพระที่นั่งนั้นได้เกิดเหตุเพลิงไหม้พระที่นั่งทั้งองค์ ซึ่งเหลือเพียงหอน้ำข้างพระที่นั่งเท่านั้นที่ไม่ถูกเพลิงไหม้ เมื่อปี พ.ศ. 2531 สำนักพระราชวังจึงสร้างพระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียรขึ้นมาใหม่เลียนแบบพระที่ นั่งองค์เดิม เพื่อใช้เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงภาพเขียนและวัตถุโบราณ
จนกระทั่ง เมื่อปี พ.ศ. 2537 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ให้จัดสร้างพระที่นั่งขึ้นใหม่ ขึ้นโดยใช้คอนกรีต แทนไม้ โดยทาสีขาวสลับเขียวตามแบบเดิมทั้งองค์พระที่นั่ง ต่อมาได้มีการรื้อดัดแปลงสร้างใหม่อีกครั้งหนึ่งตามลักษณะที่ปรากฏใน ปัจจุบัน เพื่อใช้เป็นที่ประทับของ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักรในคราวเสด็จเยือนประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2539 การดัดแปลงใหม่ครั้งนี้ได้ใช้ศิลปะสถาปัตยกรรมแบบวิคตอเรียน ตัวอาคารเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก 2 ชั้นกรุกระจกโดยรอบองค์พระที่นั่ง องค์พระที่นั่งทาสีม่วงชมพูอย่างงดงาม
ปัจจุบัน พระที่นั่งองค์นี้ใช้เป็นที่ประทับในการเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐาน ณ พระราชวังบางปะอิน และเป็นสถานที่รับรองพระราชอาคันตุกะ เป็นสถานที่เดียวในพระราชวังบางปะอินที่ไม่เปิดให้เข้าชม
พระตำหนักสวนหงส์
พระตำหนักสวนหงส์
พระตำหนักสวนหงส์ เป็นพระตำหนักภายในพระราชวังดุสิต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี ปัจจุบัน ใช้เป็นสถานที่จัดแสดงภาพงานพระราชพิธีโบราณต่าง ๆ เช่น พระราชพิธีสมโภชเดือนขึ้นพระอู่ พระราชพิธีตรียัมปวาย รวมทั้ง จัดแสดงพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร
พระตำหนักสวนหงส์ เป็นพระตำหนักไม้ 2 ชั้น บริเวณเชิงชาย ระเบียง และคอสองตกแต่งด้วยไม้แกะสลักลวดลายขนมปังขิง ตัวอาคารทาสีเขียวและขาว บริเวณด้านหน้าพระตำหนักตั้งรูปปฏิมากรรมรูปหงส์ประดับไว้ด้วย พระตำหนักออกแบบและก่อสร้างโดยกลุ่มนายช่างประจำราชสำนัก ซึ่งเป็นชาวตะวันตก ได้แก่ ชาวอิตาเลียน เยอมัน และอังกฤษ สถาปัตยกรรมของพระตำหนักสวนหงส์นั้นเมื่อพิจารณาตามส่วนต่าง ๆ แล้วน่าจะมีสถาปัตยกรรมแบบวิคตอเรียน กอทิค ซึ่งเป็นศิลปะร่วมสมัยกับพระที่นั่งวิมานเมฆ แต่เมื่อพิจารณาแบบองค์รวมแล้วจัดเป็นสถาปัตยกรรมแบบ Picturesque มากกว่า และนับเป็นสถาปัตยกรรมแนวสัญลักษณ์นิยมที่สามารถผสมผสานวัฒนธรรมไทย จีน และแขกได้อย่างลงตัว
วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
ทริป อ.จิ๋ว 4-12 ก.ค.2552
4 ก.ค.2552 (วันที่ 1)
เริ่มต้นการเดินทางสุดทรหด 9 วัน 8 คืน ออกจากคณะ ด้วยรถน้าลำดวน ไม่รู้ว่าจากลาดกระบังทำไมถึงโผล่มาอยุธยาได้อย่างรวดเร็ว กินข้าวเช้าที่ปั๊มน้ำมัน เดินเล่นซื้อขนมขึ้นรถ หลังจากนั้นก็หลับต่อไป ตื่นขึ้นมาอีกทีอยู่ที่ จังหวัดสระบุรี
เริ่มต้นการเดินทางสุดทรหด 9 วัน 8 คืน ออกจากคณะ ด้วยรถน้าลำดวน ไม่รู้ว่าจากลาดกระบังทำไมถึงโผล่มาอยุธยาได้อย่างรวดเร็ว กินข้าวเช้าที่ปั๊มน้ำมัน เดินเล่นซื้อขนมขึ้นรถ หลังจากนั้นก็หลับต่อไป ตื่นขึ้นมาอีกทีอยู่ที่ จังหวัดสระบุรี
เป็นบ้านไปเรือนไทย ร่มรื่นสวยงาม ของอ.ทรงชัย ฝั่งแรกที่ไป เป็นบ้านที่ดำรงเอกลักษณ์ละความเป็นอยู่ของไทย ด้านหน้าเป็นลานดินโปร่งโล่ง ถูกแวดล้อมด้วยไม้นานาพันธุ์ นำภูมิปัญญาเดิมของบรรพบุรุษมาใช้ ด้านในมีเรือน 3 เรือนล้อมรอบบ่อน้ำขนาดใหญ่ บรรยากาศดีมาก....สวยงาม....เป็นเรือนไม้จริง เลี้ยง นก หมา ไก่ หลายชนิด อ.เล่าว่าเหตุผลที่ย้อนกลับมาศึกษาและอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทยเอาไว้นั้นเนื่องจาก ภูมิปัญญาที่มีอยู่ของเล่านั้น ผ่านระยะเวลามายาวนานและสั่งสมความรู้และถูกปรับปรุงให้เข้ากับชีวิตความเป็นอยู่ของไทย จากรุ่นสู่รุ่น
หลังจากที่สัมผัสแล้วก็รู้สึกว่า Space ของไทยนั้นไม่ได้ดูน่าเบื่อหน่ายไปตามกาลเวลาเหมือนที่บางครั้งเราคิดว่า อาคารนั้นดูโบราณไม่ทันสมัย ความรู้สึกในการรับรู้ของ space ที่สัมผัสได้นั้นสวยงามมาก เมื่อได้เข้าไปใช้ก็รู้สึกว่าน่าอยู่ ขนาดต่างๆความกว้างความสูงพอเหมาะกับสัดส่วนของคนไทย ทำให้เรือนต่างๆแสดงถึงความเป็นที่อยู่อาศัยแบบพอเพียง ไม่โอ่อ่า ชายคาไม่สูง เย็นสบาย พื้นไม้ที่เดินแล้วให้ความรู้สึกไม่แข็ง ความสวยงามของการ แสดงโครงสร้างหลังคา ไม่มีผ้า ทำให้อาคารดูโล่งโปร่ง ข้ามมาอีกฝั่งหนึ่ง เป็นพิพิธภัณฑ์เรือของแม่น้ำป่าสัก
หลังจากที่สัมผัสแล้วก็รู้สึกว่า Space ของไทยนั้นไม่ได้ดูน่าเบื่อหน่ายไปตามกาลเวลาเหมือนที่บางครั้งเราคิดว่า อาคารนั้นดูโบราณไม่ทันสมัย ความรู้สึกในการรับรู้ของ space ที่สัมผัสได้นั้นสวยงามมาก เมื่อได้เข้าไปใช้ก็รู้สึกว่าน่าอยู่ ขนาดต่างๆความกว้างความสูงพอเหมาะกับสัดส่วนของคนไทย ทำให้เรือนต่างๆแสดงถึงความเป็นที่อยู่อาศัยแบบพอเพียง ไม่โอ่อ่า ชายคาไม่สูง เย็นสบาย พื้นไม้ที่เดินแล้วให้ความรู้สึกไม่แข็ง ความสวยงามของการ แสดงโครงสร้างหลังคา ไม่มีผ้า ทำให้อาคารดูโล่งโปร่ง ข้ามมาอีกฝั่งหนึ่ง เป็นพิพิธภัณฑ์เรือของแม่น้ำป่าสัก
และเราก็ได้นั่งกินข้าวกันที่นี่ซึ่งที่บริเวณนี้ตั้งอยู่ติดริมแม่น้ำป่าสัก มีแพด้านล่างเป็นเรือนเครื่องผูก ส่วนตัวเรือนด้านบนนั้นเป็นเรือนไม้จริงที่สร้างอยู่บนเนินที่มีความลาดชันสูงวางให้ลดหลั่นไล่ระดับไป ซึ่งนอกจากที่เราจะได้ความรู้เรื่องสถาปัตยกรรมแล้ว เรายังได้ความรู้ในด้านศิลปวัฒนธรรมอีกด้วย เนื่องจากว่าหลังจากที่เรากินข้าวกันเสร็จก็มีน้องๆ ที่เรียนการแสดงอยู่ที่ศูนย์วัฒนธรรมนี้มาแสดงให้ดู จึงได้ดูการฟ้อนแบบนกยูงรำแพนซึ่งก็จำชื่อไม่ได้ดีนัก แต่ว่าเป็นการแสดงที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ทำให้เกิดความประทับใจเป็นอย่างมาก หลังจากทู่การแสดงจบเราก็ออกเดินทางกันต่อไปยัง จังหวัดกำแพงเพชร
วัดพระนอนกำแพงเพชร เป็นวัดที่สร้างด้วยศิลาแลงและหลังคาที่ทำด้วยไม้ ซึ่งตอนนี้ส่วนที่เหลืออยู่นั้นก็มีเพียงศิลาแลง นอกจากความงามทางด้านสถาปัตยกรรมแล้วยังแสดงถึงภูมิปัญญาทางด้านการสร้างสภาพแวดล้อมของอาคารให้เข้ากับพื้นที่โดยรอบที่อาจเป็นเพราะผ่านเวลามานาน ทุ่งหญ้าสีเขียวๆที่ตัดกับสีของศิลาแลง ต่อจากนั้นก็เดินไปชมพระทั้ง 4 อิริยาบถ คือ ปรางค์สมาธิ ปรางค์นอน ปรางค์ยืน และปรางค์ลีลา หลังจากนั้นก็ไปกินข้าวกันที่ตลาดโต้รุ่ง ก่อนจะไปที่พักที่ลำปางงงง
วัดพระนอนกำแพงเพชร เป็นวัดที่สร้างด้วยศิลาแลงและหลังคาที่ทำด้วยไม้ ซึ่งตอนนี้ส่วนที่เหลืออยู่นั้นก็มีเพียงศิลาแลง นอกจากความงามทางด้านสถาปัตยกรรมแล้วยังแสดงถึงภูมิปัญญาทางด้านการสร้างสภาพแวดล้อมของอาคารให้เข้ากับพื้นที่โดยรอบที่อาจเป็นเพราะผ่านเวลามานาน ทุ่งหญ้าสีเขียวๆที่ตัดกับสีของศิลาแลง ต่อจากนั้นก็เดินไปชมพระทั้ง 4 อิริยาบถ คือ ปรางค์สมาธิ ปรางค์นอน ปรางค์ยืน และปรางค์ลีลา หลังจากนั้นก็ไปกินข้าวกันที่ตลาดโต้รุ่ง ก่อนจะไปที่พักที่ลำปางงงง
ทริป อ.จิ๋ว 4-12 ก.ค.2552
5 ก.ค.2552 (วันที่ 2)
เช้านี้เราใช้ชีวิตกันอยู่ที่ ลำปาง วันนี้เหมือนฝนฟ้าไม่ค่อยเป็นใจนัก ฝนตกพรำๆ ตั้งแต่เช้า ก่อนออกกินข้าวที่ร้านข้าวซอยโอมา ข้างโรงแรมที่เราพัก อร่อยมาก....แต่ว่าอย่าเผลอใส่พริกเท่าที่กินปกติที่อื่น พริกเผ็ดมากกก อาจจะต้องทิ้งทั้งชาม นอกจากข้าวซอยแล้วร้านนี้ก็ยังมีขนมปังหน้าหมู หมูสะเต๊ะ สองอย่างนี้ก็อร่อยดี พอกินอิ่ม แล้วยังเหลือเวลาเพราะนัดกันไว้จะออกตอน 8 โมง ก็เลยเดินไปที่ตลาด ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากโรงแรม ซึ่งจริงๆแล้วตลาดก็ไม่ได้มีของอะไรขายมากมายนัก แต่ก็พอหาซื้ออะไรเป็นเสบียงเตรียมไว้สำหรับการเดินทางได้ พอมีพวกเราไปทีร้าค้าแถวนั้นขายดีขึ้นเป็นเทน้ำเทท่า ร้านหมูทอดหยิบกันไม่ทันเลย แล้วก็เดินเข้าเซเว่น เตรียมตัวรับมือกับฝนเท่าที่จะทำได้ ถึงฝนตกก็ไม่มีอะไรหยุดเราได้ ฮ่าๆๆๆ
8 โมงกว่าๆ ออกเดินทาง เป้าหมายแรกที่เราไปกันวันนี้คือ
เช้านี้เราใช้ชีวิตกันอยู่ที่ ลำปาง วันนี้เหมือนฝนฟ้าไม่ค่อยเป็นใจนัก ฝนตกพรำๆ ตั้งแต่เช้า ก่อนออกกินข้าวที่ร้านข้าวซอยโอมา ข้างโรงแรมที่เราพัก อร่อยมาก....แต่ว่าอย่าเผลอใส่พริกเท่าที่กินปกติที่อื่น พริกเผ็ดมากกก อาจจะต้องทิ้งทั้งชาม นอกจากข้าวซอยแล้วร้านนี้ก็ยังมีขนมปังหน้าหมู หมูสะเต๊ะ สองอย่างนี้ก็อร่อยดี พอกินอิ่ม แล้วยังเหลือเวลาเพราะนัดกันไว้จะออกตอน 8 โมง ก็เลยเดินไปที่ตลาด ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากโรงแรม ซึ่งจริงๆแล้วตลาดก็ไม่ได้มีของอะไรขายมากมายนัก แต่ก็พอหาซื้ออะไรเป็นเสบียงเตรียมไว้สำหรับการเดินทางได้ พอมีพวกเราไปทีร้าค้าแถวนั้นขายดีขึ้นเป็นเทน้ำเทท่า ร้านหมูทอดหยิบกันไม่ทันเลย แล้วก็เดินเข้าเซเว่น เตรียมตัวรับมือกับฝนเท่าที่จะทำได้ ถึงฝนตกก็ไม่มีอะไรหยุดเราได้ ฮ่าๆๆๆ
8 โมงกว่าๆ ออกเดินทาง เป้าหมายแรกที่เราไปกันวันนี้คือ
วัดไหล่หิน พอมาถึง อ.จิ๋ว ก็อธิบายให้ฟัง ในด้านของสถาปัตยกรรมของวัด ในเรื่องลักษณะของอาคาร การใช้สัดส่วน ระนาบ รวมไปถึงวัสดุต่างๆที่นำมาใช้นั้น ล้วนเกิดขึ้นจากภูมิปัญญา การใช้ลานทรายที่เกิดขึ้นจากพฤติกรรมการใช้งานสถาปัตยกรรมของมนุษย์ ในสมัยก่อนคนที่เดินเข้าวัดนั้นจะถอดรองเท้าตั้งแต่ผ่านสิงห์หน้าประตูวัด และเดินเท้าเปล่าผ่านลานทรายเข้ามายังตัววัด หากวัสดุที่ปูพื้นนั้นเป็นกรวดหรือหิน ก็จะร้อนและเจ็บเมื่อเดิน การลวงตาเพื่อแสดงว่าอาคารนั้นมีขนาดใหญ่มากเกินจริง ด้วยการสร้างฉากหลัง และการเล่นระนาบต่างๆที่สวยงาม ที่เกิดจากวัสดุที่ซ้อนทับกัน เกิดเส้นหนาบาง มีมิติ การลดหลั่นซ้อนทับกัน และฝากความคิดที่ว่า การที่จะสร้างสถาปัตยกรรมใหม่รายรอบสถาปัตยกรรมที่มีอยู่เดิมนั้น ควรจะตระหนักว่า สิ่งใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นมานั้นจะต้องไม่รบกวนลักษณะและรูปแบบเดิมที่มีอยู่ ภายหลังจากการบรรยายของอาจารย์ ก็เข้าไปในตัววัด ซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่ นัก มีวิหารคดอยู่รอบนอก ตรงกลางเข้าไปเจอวิหาร และมีเจดีย์อยู่ด้านหลัง เป็นโครงสร้างก่ออิฐผสมผสานกับโครงสร้างไม้ วิหารมีขนาดเล็ก แต่เมื่อเข้าไปสัมผัสภายในรู้สึกว่าใหญ่กว่าที่ตาเห็น โครงสร้างเป็นแบบล้านนา มีการลดชั้นหลังคา ไม่มีการตีฝ้าเผยให้เห็นโครงสร้างภายในได้อย่างชัดเจน อ.จิ๋วกล่าวว่าการไม่มีฝ้าเพื่อให้สะดวกต่อการใช้งาน หากมีการรั่วซึมก็สามารถรู้จุดที่รั่วและแก้ไขได้ทันที วิหารแห่งนี้ยังคงลักษณะเดิมเอาไว้ได้มาก แต่บริบทรอบด้านนั้นได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปโดยไม่เข้ากับสภาพเดิม กระทบกระเทือนต่อภาพลักษณ์เดิมเป็นอย่างมาก
เป้าหมายที่สองของวันนี้คือ วัดพระธาตุลำปางหลวง เป็นวัดที่มีขนาดใหญ่และมีความสำคัญของจังหวัดลำปางเป็นอย่างมาก มีลักษณะล้านนาในรูปแบบของลำปาง สภาพในภูมิทัคน์ ณ ตอนนี้ถูกรบกวนจากสิ่งปลูกสร้างแบบใหม่ จนแทบไม่เหลือรูปแบบเดิม ลักษณะของอาคาร ด้านบนเมื่อเข้าไปจะพบวิหารอยู่ด้านหน้า อย่างกระชั้น ทางเข้าเล็กแคบบีบ เมื่อแหงนหน้ามองเจอวิหารขนาดใหญ่ด้านหน้า ก่อให้เกิดความรู้สึกตกตะลึง รอบนอกมีพื้นที่เป็นวิหารคด ทางด้านซ้ายมือเป็นลานทราย แต่ทางด้านขวามถูกปรับสภาพให้เป็นพื้นอิฐ ทำให้เกิดความแข็งกระด้างไม่เหมือนกับลานทราย สิ่งเหล่านีข้ามาเพราะสภาพความใช้งานที่ปรับเปลี่ยนไปตามการใช้งานของมนุษย์ ซึ่งบ้างครั้งมิได้คำนึงถึงสภาพทางวัฒนธรรมเดิม อีกหนึ่งตัวอย่างที่เห็นภายในวัดนี้คือวิหารท่อยู่ทางด้านขวามือ ซึ่งเป็นวิหารสองวิหาร หนึ่งได้รับการบรูณะปฏิสังขรใหม่ อีกวิหารหนึ่งยังไม่ได้ปฏิสังขร ในส่วนตัวของข้าพเจ้าแล้วเรื่องความงานหรือสัดส่วนที่มองเห็นนั้น ข้าพเจ้าคิดว่า วิหารที่ยังไม่ได้รับการบรูณะนั้นสวยงามกว่ามาก ทั้งในเรื่องของเส้นหนาบาง ระนาบต่างๆตามที่อ.จิ๋วเคยได้กล่าวไว้ หลังคาที่เป็นกระเบื้องแบบใหม่นั้นยังไม่กลมกลืนกับส่วนอื่นๆ ขณะที่อยู่ภายในวิหารอาจารย์ได้มีการเสนอความคิดทางด้านอนุรักษ์ เพราะขณะนี้ที่พระธาตุลำปางหลวงนั้น กำลังมีการบรูณธใหม่โดยกรมศิลปากรอยู่ โดยมีพวกเรานั่งฟังอยู่ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็แยกย้ายกันไปถ่ายรูปตามที่ต่างๆ การอนุรักษ์นั้นเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนมาก ไม่ว่าจะมีการทำในรูปแบบไหนนั้นก็มีความเป็นไปได้ในการขัดแย้งสูง เนื่องจากทรรศนคติและแนวความคิดที่ไม่ตรงกัน ซึ่งในความเป็นจริงนั้นการอนุรักษ์เป็นไปได้หลายรูปแบบ อาจารย์ท่านแรกมีแนวความคิดในการอนุรักษ์ในรูปแบบ คงไว้ซึ่งของเดิม รักษาความเป็นของแท้ ไม่ให้มีการทำลายปล่อยให้เป็นโบราณสถานที่เก่าไปตามกาลเวลา หรือหากจะมีการปรับปรุงนั้นก็ความที่จะศึกษาอย่างแน่ชัดว่าของเดิมนั้นเป็นอย่างไร หากทำแล้วจะได้เหมือนเดิมจริงหรือไม่ บางครั้งความสวยงามที่เกิดขึ้นนั้น อาจมาจากส่วนเล็กๆหลายๆส่วนมารวมกัน ทั้งความประณีตในการฉาบปูน วัสดุที่ใช้แตกต่างกัน สี หากมีการทำใหม่ก็เหมือนเดิมได้ยาก นักวิชาการนักอนุรักษ์ในบ้านเรานั้นแบ่งประเภทของโบราณสถานที่มีชีวิตอยู่หรือตายเพื่อที่จะมีการอนุรักษ์ที่ต่างกันซึ่งก็ไม่มีถูกหรือผิดที่ชัดเจน ส่วนอาจารย์ท่านที่สองมีแนวความคิดในการอนุรักษ์ว่าการปรับปรุงหรือบูรณะก็เป็นอารอนุรักษ์ในอีกรูปแบบ เพื่อดำรงไว้ซึ่งสถาปัตยกรรมไม่ให้เสื่อมไปตามกาลเวลา คงไว้ซึ่งเส้นสายที่สำคัญในงานสถาปัตยกรรม รักษาความเป็นรูปแบบเดิมไว้ให้มาก ซึ่งหลังจากที่นั่งฟัง อาจารย์ทั้งสองท่านที่มีความคิดในเรื่องการอนุรักษ์ของแต่ละท่านแล้วก็รู้สึกว่า บางครั้งตัวเราเองยังมีความใส่ใจกับเรื่องเหล่านี้อยู่น้อยมาก ทำอะไรสนองตัณหาของตัวเองและลูกค้าจนลืมผู้ที่สำคัญที่สุดของอาคารแต่ละที่ไปคือ ผู้ใช้อาคารและชุมชนแห่งนั้น หลังจากฟังอ.ทั้งสองท่านเสร็จก็ไปกินข้าวกลางวัน
กินข้าวกลางวันที่ร้านค้าบริเวณวัดเสร็จ ก็เดินกลับขึ้นไปบริเวณรอบๆวิหารต่อเพื่อจะดู งานสถาปัตยกรรมให้ครบ แล้วเจอ อ.ไก่นั่งอยู่ อาจารย์เลยเรียกไปคุยด้วยในเรื่องที่ได้รับฟังก่อนไปกินข้าว โดยเริ่มแรกอาจารย์ก็ถามความเข้าใจในเรื่องที่ได้ฟังอาจารย์คุยกัน แล้วอ.ไก่ก็สรุปเปรียบเทียบให้ฟังว่าการอนุรักษ์ ก็เปรียบเสมือการมีมะม่วงผลหนึ่งอยู่ แล้วเราจะเก็บรักษามันด้วยวิธีใด ซึ่งมะม่วงผลนั้นอาจจะเก็บด้วยการดองเค็ม การแช่อิ่ม การกวน ซึ่งแต่ละวิธีก็สามารถยืดระยะเวลาได้ยาวขึ้น ซึ่งก็ไม่มีอันไหนผิดหรือถูก แต่ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับว่าสิ่งที่ทำนั้นมันจะเหมาะสมกับลักษณะไหนและสถานการณ์แบบไหน อาคารลักษณะ ซึ่งแต่ละแบบอาจจะต้องการการอนุรักษ์ที่ไม่เหมือนกัน แต่ควรจะสรุปให้ได้ว่าสำหรับอาคารที่จะอนุรักษ์แห่งหนึ่งนั้น ลักษณะไหนที่จะดีที่สุดสำหรับอาคารแห่งนี้ ซึ่งก็หมานถึงการเลือกรูปแบบที่เหมาะสมในการอนุรักษ์ หลังจากจบการสนทนาเรื่องการอนุรักษ์ ก็ได้เดินไปดูหอสรงน้ำ ซึ่งหอสรงน้ำเป็นหอขนาดเล็ก ตั้งอยู่ด้านหลังของวัด แต่มีสัดส่วนที่สวยงามโดยย่อมาจากอาคารขนาดใหญ่ โดยไม่ได้ใช้ทุกอย่าง ลดทอนองค์ประกอบได้ดี โครงสร้างที่ใช้สวยงาม ซึ่งอาคารในลักษณะนี้หาได้ยากมาก
เป้าหมายที่สามของวันนี้คือ วัดโปงยางคก เป็นวิหารที่มีขนาดเล็ก มีความเป็นท้องถิ่นที่บริสุทธิ์ ลานทราย พืชพรรณต่างๆ เปล่งคุณค่าของท้องถิ่นอย่างเต็มที่ ถูกรบกวนจากสิ่งอื่นที่เป็นของเทียม วัดนี้มีความสวยงามในทางสถาปัตยกรรมเป็นอย่างมาก มีวิหารตามลักษณะของล้านนา ภายหลังพื้นลานทรายด้านนอกได้ถูกถมและโรยกรวด ซึ่งกรวดที่โรยนั้นทำเห็นเกิดความเจ็บเวลาเดิน ขนาดด้านนอกที่ดูเล็ก แต่เมื่อเข้าไปภายในกลับดูใหญ่ขึ้นอย่างแปลกตา
หลังจากที่วันนี้ดูวัดมาหลายวัดแล้ว ก่อนกลับก็ได้แวะ ดูบ้านที่สร้างจากภูมิปัญญาพื้นถิ่น ยุ้งข้าว ประมาณสามหลังและก็กลับที่พัก ตอนค่ำกินข้าวร้านตี๋น้อย ไม่อร่อยมากกก ต้มยำรสชาติเหมือนต้มข่าไก่
วันนี้อ.จิ๋วได้พูดว่า ความเป็นท้องถื่นที่บริสุทธิ์ Landscape ลานทราย พืชพรรณ จะเปล่งคุณค่าของท้องถื่นอย่างเต็มที่ เทคโนโลยีที่ใหม่ๆที่เกิดขึ้น นำมาประกอบให้สามารถอยู่ด้วยกันได้ โดยการนำเอาภูมิปัญญาเดิมมาปรับปรุงให้เข้ากับความทันสมัย พึ่งตัวเองได้ใช้ไม้เดือย สลัก ลายวิจิตรพิสดาร เส้น หนาบาง รวมกันกับความแวววาวของลวดลายซึ่งเป็นภูมิปัญญาของช่างฝีมือของช่างในอดีต ความสัมพันธ์ของที่โล่งที่มีต่ออาคาร เสื่อ กระถางต้นไม้ ล้วนเป็นความรู้ที่ถูกพัฒนาสืบต่อกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน
กินข้าวกลางวันที่ร้านค้าบริเวณวัดเสร็จ ก็เดินกลับขึ้นไปบริเวณรอบๆวิหารต่อเพื่อจะดู งานสถาปัตยกรรมให้ครบ แล้วเจอ อ.ไก่นั่งอยู่ อาจารย์เลยเรียกไปคุยด้วยในเรื่องที่ได้รับฟังก่อนไปกินข้าว โดยเริ่มแรกอาจารย์ก็ถามความเข้าใจในเรื่องที่ได้ฟังอาจารย์คุยกัน แล้วอ.ไก่ก็สรุปเปรียบเทียบให้ฟังว่าการอนุรักษ์ ก็เปรียบเสมือการมีมะม่วงผลหนึ่งอยู่ แล้วเราจะเก็บรักษามันด้วยวิธีใด ซึ่งมะม่วงผลนั้นอาจจะเก็บด้วยการดองเค็ม การแช่อิ่ม การกวน ซึ่งแต่ละวิธีก็สามารถยืดระยะเวลาได้ยาวขึ้น ซึ่งก็ไม่มีอันไหนผิดหรือถูก แต่ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับว่าสิ่งที่ทำนั้นมันจะเหมาะสมกับลักษณะไหนและสถานการณ์แบบไหน อาคารลักษณะ ซึ่งแต่ละแบบอาจจะต้องการการอนุรักษ์ที่ไม่เหมือนกัน แต่ควรจะสรุปให้ได้ว่าสำหรับอาคารที่จะอนุรักษ์แห่งหนึ่งนั้น ลักษณะไหนที่จะดีที่สุดสำหรับอาคารแห่งนี้ ซึ่งก็หมานถึงการเลือกรูปแบบที่เหมาะสมในการอนุรักษ์ หลังจากจบการสนทนาเรื่องการอนุรักษ์ ก็ได้เดินไปดูหอสรงน้ำ ซึ่งหอสรงน้ำเป็นหอขนาดเล็ก ตั้งอยู่ด้านหลังของวัด แต่มีสัดส่วนที่สวยงามโดยย่อมาจากอาคารขนาดใหญ่ โดยไม่ได้ใช้ทุกอย่าง ลดทอนองค์ประกอบได้ดี โครงสร้างที่ใช้สวยงาม ซึ่งอาคารในลักษณะนี้หาได้ยากมาก
เป้าหมายที่สามของวันนี้คือ วัดโปงยางคก เป็นวิหารที่มีขนาดเล็ก มีความเป็นท้องถิ่นที่บริสุทธิ์ ลานทราย พืชพรรณต่างๆ เปล่งคุณค่าของท้องถิ่นอย่างเต็มที่ ถูกรบกวนจากสิ่งอื่นที่เป็นของเทียม วัดนี้มีความสวยงามในทางสถาปัตยกรรมเป็นอย่างมาก มีวิหารตามลักษณะของล้านนา ภายหลังพื้นลานทรายด้านนอกได้ถูกถมและโรยกรวด ซึ่งกรวดที่โรยนั้นทำเห็นเกิดความเจ็บเวลาเดิน ขนาดด้านนอกที่ดูเล็ก แต่เมื่อเข้าไปภายในกลับดูใหญ่ขึ้นอย่างแปลกตา
หลังจากที่วันนี้ดูวัดมาหลายวัดแล้ว ก่อนกลับก็ได้แวะ ดูบ้านที่สร้างจากภูมิปัญญาพื้นถิ่น ยุ้งข้าว ประมาณสามหลังและก็กลับที่พัก ตอนค่ำกินข้าวร้านตี๋น้อย ไม่อร่อยมากกก ต้มยำรสชาติเหมือนต้มข่าไก่
วันนี้อ.จิ๋วได้พูดว่า ความเป็นท้องถื่นที่บริสุทธิ์ Landscape ลานทราย พืชพรรณ จะเปล่งคุณค่าของท้องถื่นอย่างเต็มที่ เทคโนโลยีที่ใหม่ๆที่เกิดขึ้น นำมาประกอบให้สามารถอยู่ด้วยกันได้ โดยการนำเอาภูมิปัญญาเดิมมาปรับปรุงให้เข้ากับความทันสมัย พึ่งตัวเองได้ใช้ไม้เดือย สลัก ลายวิจิตรพิสดาร เส้น หนาบาง รวมกันกับความแวววาวของลวดลายซึ่งเป็นภูมิปัญญาของช่างฝีมือของช่างในอดีต ความสัมพันธ์ของที่โล่งที่มีต่ออาคาร เสื่อ กระถางต้นไม้ ล้วนเป็นความรู้ที่ถูกพัฒนาสืบต่อกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน
ทริป อ.จิ๋ว 4-12 ก.ค.2552
6 ก.ค.2552 (วันที่ 3)
เช้าวันที่สอง ยังคงอยู่ที่ลำปาง ยังคงกินข้าวซอยที่ร้านโอมาเช่นเดิม คราวนี้แก้ตัวด้วยการใส่พริกน้อยๆ หลังจากนั้นก็ไปซื้อข้าวเหนียวหมูทอดที่ร้านป้าร้านเดียวกันกับเมื่อวาน เตรียมเป็นเสบียงสำหรับตอนกลางวัน แล้วก็ขึ้นรถ พอถึงที่อ.จิ๋วก็ได้เรียกไปนั่งฟัง ซึ่งอาจารย์ก็ได้พูดสรุปเรื่องเมื่อวาน เรื่องการใช้ความสามารถของช่าง พัฒนาจากของเดิมขึ้นมาใหม่ เนื่องจากว่าคุณค่าของสิ่งใหม่ๆนั้นยังไม่ได้รับการกลั่งกรองมากพอ โดยใช้ความรู้ที่ได้จากภูมิปัญญาเดิม วัดลำปางหลวงใช้ลักษณะความสัมพันธ์ของ พื้นที่ ความงามที่ไม่ซับซ้อนเข้าใจคุณค่าของที่ว่าง ต่างจากวัดพระแก้วซึ่งเน้นความสำคัญของ แมส โดยพื้นที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์กันเท่าที่ควร วัดโปงยางคก ใช้ลักษณะของงานสมัยใหม่เข้ามาโดยการเทกรวดแทนลานทราย ซึ่งมีความสวยงามแต่ลำบากต่อการใช้งานหากใช้งานตามรูปแบบเดิม คือเมื่อเดินเท้าเปล่าจะเจ็บ หากเป็นลานทรายเอเดินจะไม่เจ็บ หญ้าไม่ขึ้นรักษาความสะอาดง่าย ให้ความสำคัญกับ space ที่มีความสัมพันธ์กัน บ้านที่หยุดสองข้างทางนั้นปรับปรุงเทคนิคเดิมที่เกิดปัญหาโดยใช้ไม้ บานเลื่อนบานพับ คือเป็นการนำเอาวัสดุหรือการก่อสร้างแบบใหม่เข้ามา เปรียบเสมือนภาษาฝรั่งแต่มีความเป็นพื้นเมืองเหมือนเดิม
วันนี้ฝนตกอีกแล้ว เดินดูหมู่บ้านพื้นถิ่น ซึ่งหมู่บ้านเหล่านี้นั้นมีความเป็นอยู่ที่มีชีวิต บ้านแต่ละหลังนั้นผ่านการปรับปรุงความรู้ทางภูมิปัญญาเดิมให้เข้ากับสมัย จากรุ่นสู่รุ่น ลานดิน หน้าบ้าน พืชพรรณไม้ หลากหลายชนิดที่เลือกมาปลูก ถูกคัดสรรมาอย่างดี การเชื่อต่อของ Space บ้านแต่ละหลัง โดยไม่จำเป็นต้องมีรั้วเหมือนกับบ้านจัดสรรในปัจจุบัน แต่ก็สามารถแบ่งแยกอาณาบริเวณกันได้ เมื่อเดินลึกเข้าไปข้างใน หมู่บ้านที่มีบ้านต่างๆอยู่ ก็จะได้พบกับ นาขั้นไปบันไดที่ สวยมาก....สวยมากจริงๆ ซึ่งทุกลักทุเลกันมากกว่าที่จะเก็บภาพได้แต่ละภาพ เนื่องจากว่าฝนก็ตก ต้องถือร่ม ถือกล้อง ท้องฟ้าก็อึมครึม วัดแสงลำบาก แต่ทุกคนก็ยังจะพยายามต่อไปอย่างทุกลักทุเลเพื่อที่จะได้เก็บรูปกลับมา ได้เดินลงไปในทุ่งนา เจอลุงชาวนาใจดี ซึ่งนานี้ก็ดูมีเทคโนโลยีเข้าใช้ในการทำมากพอสมควร ก็ไม่รู้ว่าวันนี้ที่ฝนตกลุงๆ เขาจะรู้สึกดีกว่าวันแดดออกหรือเปล่า เพราะทำงานวันแดดออกคงจะร้อนน่าดู จากหมู่บ้านที่ดูไม่น่าจะเสียเวลาในการดูมากนัก กลับกินเวลาไปกว่าครึ่งวัน
เดินทางต่อไปยังวัดปลายนา ฟังพระเทศน์ในแบบล้านนา ซึ่งก็ไม่เคยได้ฟังมาก่อน แล้วต่อด้วยการเดินดูหมู่บ้าน ซึ่หมู่บ้านนี้ได้รับางวัลจากการประกวดหมู่บ้านน่าอยู่ เจอบ้านคุณตาคุณยายที่นั่งอยู่บแคร่ โดย Space ที่เชื่อมต่อกันกับ เพื่อนบ้าน ทำให้อาณาบริเวณที่ไม่ใหญ่มากนั้น ดูใหญ่ขึ้นมาได้ แล้วเมื่อเดินออกไปด้านนอก ก็มีทุ่งนาอีกทุ่งนึง ไม่รู้ว่าเป็นอะไรจะต้องเดินลงไปลุยทุกครั้ง หลังจากขึ้นมาจากทุ่งนาก็มาถ่ายรูปกันกับเพื่อนๆ ซึ่งมีรูปที่อ.ไก่ ถ่ายกับแยมด้วย ฮ่าๆๆๆ หลังจากนั้นก็เดินไปล้างเท้าล้างตัวที่เลอะโคลนจากการเดินลุยท้องนา แล้วก็เดินหลุดออกจากกลุ่ม เดินหลงอยู่นานก็ไปเจอเพื่อนอยู่ที่บ้าน อบต.ซึ่ง มีเล้าหมูอยู่ด้วย บ้านแต่ละหลังใจดีมาก เอาน้ำมาให้ดื่มด้วย...สดชื่นนนนน บ้านแต่ละหลังดูอบอุ่นสวยงาม...
ออกจากหมู่บ้านขึ้นรถ ทางผ่านไปแวะซื้อลำไยบริเวณ เพิงที่มีวัว ขอบอกว่าเพิงนี้ไม่ธรรมดา สวยมากกกก เห็นแล้วแทบกรี๊ด เชื่อม Space การลดละดับ ความโปร่งทึบ ของพื้นที่ โดยส่วนตัวชอบมาก หลังจากไปดูหลายๆที่มาในไม่กี่วันนี้ ก็เริ่มรู้สึกว่า บางครั้งชาวบ้านกลับมีความรู้สึก เข้าถึง Space มากกว่าสถาปนิกอีก ฮ่าๆๆ เมื่อดูเสร็จก็กลับไปขึ้นรถ ดู เรือนเครื่องผูก ที่คุณน้าเจ้าของบ้านใจดีมากกก เอาเม็ดขนุนต้มมาให้กิน แล้วยังแถมด้วยขนุนที่อร่อยมากอีก ซึ่งเขาเล่าว่าสร้างบ้านด้วยตัวเองทั้งหลัง ซึ่งเสร็จภายในสี่ถึงห้าวันเอง สุดยอดดด ขอยอมรับ ณ ที่นี้ว่า ต่อให้ให้เวลาข้าพเจ้าเป็นเดือนก็ไม่แน่ว่าจะทำได้ ปกติรู้จักแค่โครงสร้าง UHU กำลังเดินดูบ้านเพลินๆ ก็เกิดเรื่อง คือ พี่ปริญญาโท โดนรถจักรยานยนต์ ชนเข้า เห็นขณะที่ชนแต่เห็นผ่านพุ่มไม้ ยังดีที่ทั้งพี่ทั้งคนขับไม่เป็นอะไรมาก ก็ไม่อะไรแล้วก็ถ่ายรูปต่อไป
ที่สุดท้ายของวันนี้ คือวัดข่วงกอม วัดนี้ถูกออกแบบและสร้างขึ้นโดยสถาปนิกซึ่งเลียนแบบจากของเดิม ทั้งเรื่องแนวคิดสัดส่วน ทุกอย่างหลังจากนั้น ก็เดินไปถ่ายภาพบริเวณบ้านที่อยู่ใกล้วัด แล้วก็เดินลุดลงไปทุ่งนาอีกที่ ซึ่งเดินลงไปลำบากมาก ดินเหลวเละ ลื่น ไม่มีที่จับ ไหนจะต้องพยุงกล้องอีก แต่ก็คุ้มค่ากับการเดินลงไป สะพานที่ใช้เดินข้ามน้ำน่ากลัวจะพังมาก หลังจากรับน้ำหนักคนอย่างเราไป ฮ่าๆ เสร็จแล้วก็เดินกลับมาที่เดิม ไปล้างเท้าในลำธาร ซึ่งทุกคนก็เอี้ยวตัวกันล้างสุดชีวิต ห้อยโหนกันกลัวตกน้ำ หารู้กันไหมว่า น้ำตื้นมาก กว่าจะรู้ว่าน้ำตื้น ก็สายเสียแล้ว เสร็จแล้วก็ไปนั่งในวิหาร ฟังอ.จิ๋วคุยกับพระ เสร็จแล้วก็กลับที่พัก
ทริป อ.จิ๋ว 4-12 ก.ค.2552
7 ก.ค.2552 (วันที่ 4)
วันสุดท้ายที่ลำปาง เก็บของยัดใส่กระเป๋าแล้วลุยต่อ เปลี่ยนที่กินข้าวเช้าเป็นแถวหน้าสถานีรถไฟลำปาง เป็นร้านก๋วยจั๊บ ไม่ค่อยอิ่มเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าอร่อยดี หลังจากนั้นก็เตรียมเสบียงสำหรับกลางวัน ออกจากที่พักประมาณ 9 โมงได้ มุ่งหน้าไปยัง
วันสุดท้ายที่ลำปาง เก็บของยัดใส่กระเป๋าแล้วลุยต่อ เปลี่ยนที่กินข้าวเช้าเป็นแถวหน้าสถานีรถไฟลำปาง เป็นร้านก๋วยจั๊บ ไม่ค่อยอิ่มเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าอร่อยดี หลังจากนั้นก็เตรียมเสบียงสำหรับกลางวัน ออกจากที่พักประมาณ 9 โมงได้ มุ่งหน้าไปยัง
วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม เมื่อไปถึงอ.จิ๋วก็ได้ บรรยายเกี่ยวกับความเป็นสถาปัตยกรรมล้านน้า เรื่องหลังคา ซึ่งหลังคาจะมีลักษณะการยกหลังคาแต่ละตับห่างกัน จึงเกิดมีแผงคอสองไว้สำหรับแยกตัวหลังคาอย่างชัดเจน ลักษณะของวัดนี้ มีกำแพงอิฐปิดแบบเป็นผนังรับน้ำหนัก ก่ออิฐมีช่องหน้าต่าง ใช้ระเบียบโครงสร้างไว้วางตามแรง สัดส่วนที่เกิดจากลักษณะของการรับแรง แล้วประดับตกแต่งลวดลาย ซึ่งวางตามทิศทางของโครงสร้าง เสาด้านหน้าเป็นเสาแปดเหลี่ยม ด้านในเป็นเสากลม ยกบันได มีสิงห์ สองตัวด้านหน้า ใช้หลังคาลด กำแพงลดระดับ ซึ่งหลังคาที่ลดชั้นนั้น จะเป็นสัญลักษณ์ในการคลุมพื้นที่ศักดิ์สิทธ์ ซึ่งวัดทางเหนือนั้นจะไม่มีศาลาการเปรียญเช่นในภาคกลาง วิหารทำหน้าที่เป็นศาลาการเปรียญด้วย โบสถ์จะมีขนาดเล็ก โดยวัดนี้มีวัฒนธรรมของพม่าแทรกซึมเข้ามาผ่านรูปแบบของอาคาร ซึ่งบางส่วนนั้นก็แสดงถึงวัฒนธรรมของอังกฤษ
เป้าหมายที่สองของวันนี้คือ วัดปงสนุก เหนือใต้ แต่เดิมมีเพียงแห่งเดียวแต่ตอนหลังได้สร้างเพิ่ม แต่ใช้เจดีย์ร่วมกัน เสริมด้วยการก่ออิฐโดยไม่ใช้ปูน เชื่อว่ามณฑปนี้สร้างให้พระพุทธเจ้า 4 องค์ ซึ่งองค์ที่ 5 ยังไม่มา ซึ่งมณฑปนี้อ.ไก่ให้คนที่ขาดเรียน ตัดโมเดล มณฑปโครงสร้างสลับซับซ้อน ตรงบริเวณที่โครงสร้างสลับซับซ้อนนั้นจะมีดาวติดอยู่ การที่โครงสร้างนี้ซับซ้อนเนื่องจากต้องการให้เสานั้นไม่อยู่ตรงบริเวฯมุมบดบังทรรศนียภาพ ของพระพุทธเจ้า โครงสร้างหลังคาแอ่นขึ้น เป็นความวิจิตรที่ผ่านการคัดสรรมาอย่างดี ความสวยงามของมณฑปนั้นอยู่ที่โครงสร้าง ส่วนลวดลายยังคงเป็นงานที่ไม่สมบูรณ์นัก เกิดจากฝีมือความรู้ของช่างที่ยังไม่สมบูรณ์แบบในตัวเองเหมือนงานคลาสิก (Folk)
หลังจากที่ออกมาจากวัดปงสนุกก็ไปต่อที่วัดศรีรองเมือง พอออกจากรถฝนก็ตกอย่างหนัก เรามานั่งกินข้าวที่บริเวณชานหน้าวัด พระท่านใจดีนำอาหารที่เหลือจากเพลมาแจก มาพูดถึงวัดนี้เป็นวัดขนาดใหญ่ที่มีวัฒนธรรมของพม่าสร้างด้วยไม้สัก เนื่องจากว่า ในสมัยก่อนนั้นอังกฤษ ทำสัญญากับเอเชียตะวันตออกเฉียงใต้ เพื่อทำอุตสาหกรรมป่าไม้และได้ มาทำสัมปทานกับแพร่ ลำปาง เชียงใหม่ ฯ โดยให้พม่าจากมะละแหม่ง ซึ่งวัดนี้เป็นชาวพม่าสร้าง โดยอาคารนั้นเป็นทั้ง ศาลาการเปรียญ วิหาร กุฏิ มีการลดระดับเป็นลำดับชั้น โดยให้พระประทานอยู่สูงสุด ประตูเมื่อเปิดออกจะเปิดเป็นพื้นที่สาธารณะ หลังคาที่ซ้อนทับกันนั้นเชื่อด้วยรางน้ำสลับซับซ้อน คาดว่าเป็นช่างชุดเดียวกันกับมณฑปที่วัดปงสนุก สร้างเสร็จประมาณปี พ.ศ. 2400 โดยมีระเบียบอาคารเป็นแบบพม่า แยกโบสถ์ เจดีย์ ยกใต้ถุนสูง ใช้สังกะสีเป็นเครื่องมุง มีแนวความคิดเรื่องความหรูหราฟุ่มเฟือย ซึ่งแตกต่างกับของญี่ปุ่นเพราะญี่ปุ่นเน้นในเรื่องความเป็นจริงของธรรมชาติ แต่อันนี้จำลองมาจากสวรรค์วิมาร โดยการผสมผสานสิ่งต่างๆเข้าด้วยกัน ช่องเปิดโปร่งต่อเนื่องกันในอาคาร
ระหว่างทางไปเชียงใหม่ก็แวะที่ลำพูน เป็นบ้านยองโบราณ บ้านมะกอก เรือนไม้หลังแรกนั้น เป็นเจ้าของเดิมที่สร้างนั้นเป็นช่างไม้ คุณน้าใจดีให้เดินขึ้นไปบนบ้าน ด้วยความที่ว่าเจ้าของบ้านเป็นช่างไม้ รายละเอียดส่วนต่างๆจึงถือได้ว่า เนี๊ยบทุกระเบียดนิ้ว ทั้งการเข้าไม้รอยต่อต่างๆ ดูเรียบร้อยจนแทบไม่เห็นรอยต่อ โดยพื้นไม่และตงนั้นแทบจะไม่ต้องยึดด้วยตะปูเลย Space ด้านบนเป็นพื้นที่โล่งมีการเล่นระดับแยกพื้นที่นังเล่น อเนกประสงค์กับห้องนอน โดยที่ให้ห้องนอนอยู่สูงกว่า หลังคามีลักษณะการมาชนกัน จึงมีการคิดรายละเอียดของการทำรางน้ำซึ่งคาดว่าได้นำมาซ่อมแซมใหม่ ภายหลัง ห้องนอนมีการคิดรายละเอียดเล็กน้อยต่างๆเช่น เสามุ้ง ชั้นวางของ และแม้กระทั่งลูกบิดประตู ด้านหลังบ้านเป็นส่วนของครัว ห้องเก็บของ แล้วที่สำคัญคือห้องน้ำ ซึ่งเป็นพื้นที่เปิดโล่งที่น่ารักมาก เจ้าของบ้านหลังนี้นคงเป็นคนที่มีฐานะน่าดู แล้วก็เดินออกไปดูยุ้งข้าวด้านนอก หลังจากใช้เวลาเดินวนไปเวียนมาในบ้านนี้อยู่นาน ก็ถึงเวลาที่ต้องไปบ้านอีกหลังที่อยู่ไม่ไกลนัก
บ้านโบราณหลังนี้เป็นบ้านที่สร้างในยุคเดียวกันกับบ้านหลังที่ผ่านมา ซึ่งเจ้าของนั้นเป็นเพื่อนกัน บ้านหลังนี้ได้รับการอนุรักษ์ และดูแลรักษาอย่างดี มีคุณยายอยู่หนึ่งคน ซึ่งบ้านนี้ใช้เป็นที่สอนสาวๆที่จะประกวดนางงาม บ้านหลังนีกแยกตัวเรือนนอนกับเรือนครัวอย่างเด่นชัดด้วยทางเดืน ตรงกลาง ลักษณะการก่อสร้างก็เป็นรูปแบบเดียวกันกับเรือนที่ผ่านมา ส่วนครัวมีเตาไฟแล้วก็ที่สำหรับอบเครื่องมือเครื่องใช้พวกหวายให้มอดไม่กิน มีเครื่องครัวแบบโบราณ แล้วก็มีห้องนอนสามห้อง พื้นที่อเนกประสงค์ ด้วยความที่พื้นเป็นไม้ เวลาที่เดินทำให้รู้สึกว่านุ่มเท่ากว่าการเดินบนพื้นคอนกรีตหรือกระเบื้อง การจัดแบ่งลักษณะการใช้สอยแปรเปลี่ยนไปตามสมัยและการใช้งานที่แปรเปลี่ยนไป ล้วนเป็นการกลั่นกรองจากรุ่นสู่รุ่น ภายหลังจากที่ดูบ้านหลังนี้เสร็จเราก็เดินทางต่อ โดยแวะไปกินข้าวที่ลำพูน ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังสนามกีฬา 700 ปีเชียงใหม่ ก่อนลงจากรถมีกระบอกไม้ไผ่ หล่นลงมาใส่หัวลูกปัด เลยแอบวุ่นวายกันเล็กน้อย แต่ก็ไม่เป็นอะไรมาก เลยกลับเข้าสู่ที่พักไปเดินเล่นที่สนามบอลแล้วก็นอน
เป้าหมายที่สองของวันนี้คือ วัดปงสนุก เหนือใต้ แต่เดิมมีเพียงแห่งเดียวแต่ตอนหลังได้สร้างเพิ่ม แต่ใช้เจดีย์ร่วมกัน เสริมด้วยการก่ออิฐโดยไม่ใช้ปูน เชื่อว่ามณฑปนี้สร้างให้พระพุทธเจ้า 4 องค์ ซึ่งองค์ที่ 5 ยังไม่มา ซึ่งมณฑปนี้อ.ไก่ให้คนที่ขาดเรียน ตัดโมเดล มณฑปโครงสร้างสลับซับซ้อน ตรงบริเวณที่โครงสร้างสลับซับซ้อนนั้นจะมีดาวติดอยู่ การที่โครงสร้างนี้ซับซ้อนเนื่องจากต้องการให้เสานั้นไม่อยู่ตรงบริเวฯมุมบดบังทรรศนียภาพ ของพระพุทธเจ้า โครงสร้างหลังคาแอ่นขึ้น เป็นความวิจิตรที่ผ่านการคัดสรรมาอย่างดี ความสวยงามของมณฑปนั้นอยู่ที่โครงสร้าง ส่วนลวดลายยังคงเป็นงานที่ไม่สมบูรณ์นัก เกิดจากฝีมือความรู้ของช่างที่ยังไม่สมบูรณ์แบบในตัวเองเหมือนงานคลาสิก (Folk)
หลังจากที่ออกมาจากวัดปงสนุกก็ไปต่อที่วัดศรีรองเมือง พอออกจากรถฝนก็ตกอย่างหนัก เรามานั่งกินข้าวที่บริเวณชานหน้าวัด พระท่านใจดีนำอาหารที่เหลือจากเพลมาแจก มาพูดถึงวัดนี้เป็นวัดขนาดใหญ่ที่มีวัฒนธรรมของพม่าสร้างด้วยไม้สัก เนื่องจากว่า ในสมัยก่อนนั้นอังกฤษ ทำสัญญากับเอเชียตะวันตออกเฉียงใต้ เพื่อทำอุตสาหกรรมป่าไม้และได้ มาทำสัมปทานกับแพร่ ลำปาง เชียงใหม่ ฯ โดยให้พม่าจากมะละแหม่ง ซึ่งวัดนี้เป็นชาวพม่าสร้าง โดยอาคารนั้นเป็นทั้ง ศาลาการเปรียญ วิหาร กุฏิ มีการลดระดับเป็นลำดับชั้น โดยให้พระประทานอยู่สูงสุด ประตูเมื่อเปิดออกจะเปิดเป็นพื้นที่สาธารณะ หลังคาที่ซ้อนทับกันนั้นเชื่อด้วยรางน้ำสลับซับซ้อน คาดว่าเป็นช่างชุดเดียวกันกับมณฑปที่วัดปงสนุก สร้างเสร็จประมาณปี พ.ศ. 2400 โดยมีระเบียบอาคารเป็นแบบพม่า แยกโบสถ์ เจดีย์ ยกใต้ถุนสูง ใช้สังกะสีเป็นเครื่องมุง มีแนวความคิดเรื่องความหรูหราฟุ่มเฟือย ซึ่งแตกต่างกับของญี่ปุ่นเพราะญี่ปุ่นเน้นในเรื่องความเป็นจริงของธรรมชาติ แต่อันนี้จำลองมาจากสวรรค์วิมาร โดยการผสมผสานสิ่งต่างๆเข้าด้วยกัน ช่องเปิดโปร่งต่อเนื่องกันในอาคาร
ระหว่างทางไปเชียงใหม่ก็แวะที่ลำพูน เป็นบ้านยองโบราณ บ้านมะกอก เรือนไม้หลังแรกนั้น เป็นเจ้าของเดิมที่สร้างนั้นเป็นช่างไม้ คุณน้าใจดีให้เดินขึ้นไปบนบ้าน ด้วยความที่ว่าเจ้าของบ้านเป็นช่างไม้ รายละเอียดส่วนต่างๆจึงถือได้ว่า เนี๊ยบทุกระเบียดนิ้ว ทั้งการเข้าไม้รอยต่อต่างๆ ดูเรียบร้อยจนแทบไม่เห็นรอยต่อ โดยพื้นไม่และตงนั้นแทบจะไม่ต้องยึดด้วยตะปูเลย Space ด้านบนเป็นพื้นที่โล่งมีการเล่นระดับแยกพื้นที่นังเล่น อเนกประสงค์กับห้องนอน โดยที่ให้ห้องนอนอยู่สูงกว่า หลังคามีลักษณะการมาชนกัน จึงมีการคิดรายละเอียดของการทำรางน้ำซึ่งคาดว่าได้นำมาซ่อมแซมใหม่ ภายหลัง ห้องนอนมีการคิดรายละเอียดเล็กน้อยต่างๆเช่น เสามุ้ง ชั้นวางของ และแม้กระทั่งลูกบิดประตู ด้านหลังบ้านเป็นส่วนของครัว ห้องเก็บของ แล้วที่สำคัญคือห้องน้ำ ซึ่งเป็นพื้นที่เปิดโล่งที่น่ารักมาก เจ้าของบ้านหลังนี้นคงเป็นคนที่มีฐานะน่าดู แล้วก็เดินออกไปดูยุ้งข้าวด้านนอก หลังจากใช้เวลาเดินวนไปเวียนมาในบ้านนี้อยู่นาน ก็ถึงเวลาที่ต้องไปบ้านอีกหลังที่อยู่ไม่ไกลนัก
บ้านโบราณหลังนี้เป็นบ้านที่สร้างในยุคเดียวกันกับบ้านหลังที่ผ่านมา ซึ่งเจ้าของนั้นเป็นเพื่อนกัน บ้านหลังนี้ได้รับการอนุรักษ์ และดูแลรักษาอย่างดี มีคุณยายอยู่หนึ่งคน ซึ่งบ้านนี้ใช้เป็นที่สอนสาวๆที่จะประกวดนางงาม บ้านหลังนีกแยกตัวเรือนนอนกับเรือนครัวอย่างเด่นชัดด้วยทางเดืน ตรงกลาง ลักษณะการก่อสร้างก็เป็นรูปแบบเดียวกันกับเรือนที่ผ่านมา ส่วนครัวมีเตาไฟแล้วก็ที่สำหรับอบเครื่องมือเครื่องใช้พวกหวายให้มอดไม่กิน มีเครื่องครัวแบบโบราณ แล้วก็มีห้องนอนสามห้อง พื้นที่อเนกประสงค์ ด้วยความที่พื้นเป็นไม้ เวลาที่เดินทำให้รู้สึกว่านุ่มเท่ากว่าการเดินบนพื้นคอนกรีตหรือกระเบื้อง การจัดแบ่งลักษณะการใช้สอยแปรเปลี่ยนไปตามสมัยและการใช้งานที่แปรเปลี่ยนไป ล้วนเป็นการกลั่นกรองจากรุ่นสู่รุ่น ภายหลังจากที่ดูบ้านหลังนี้เสร็จเราก็เดินทางต่อ โดยแวะไปกินข้าวที่ลำพูน ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังสนามกีฬา 700 ปีเชียงใหม่ ก่อนลงจากรถมีกระบอกไม้ไผ่ หล่นลงมาใส่หัวลูกปัด เลยแอบวุ่นวายกันเล็กน้อย แต่ก็ไม่เป็นอะไรมาก เลยกลับเข้าสู่ที่พักไปเดินเล่นที่สนามบอลแล้วก็นอน
ทริป อ.จิ๋ว 4-12 ก.ค.2552
8 ก.ค.2552 (วันที่ 5)
เช้านี้อยู่ที่เชียงใหม่ ตื่นเช้ามา ก็ขึ้นรถ วันนี้มีเพื่อนไม่สบาย 2 คน อ.น้ำ เลยบอกว่าจะพาไปหาหมอที่ มช. คนที่ไม่ได้เป็นอะไรเลยแยกย้ายกันไปกินข้าวที่ กากต้นพยอมหน้ามหาวิทยาลัย ไปกินข้าวแกงร้านลุงไท ข้างโรงแรมพิงค์พยอมอร่อยมาก หลังจากกินข้าวเสร็จ เพื่อนๆก็กลับมาจากโรงพยาบาล แล้วกเดินทางต่อไปยัง วัดพันเตา เชียงใหม่ ซึ่งวัดนี้เป็นวัดไม้ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง โดยวิหารแห่งนี้เป็นวิหารไม้เทคโนโลยีที่ใช้เป็นเทคโนโลยีของช่างชั้นครู ซึ่งวิหารนี้แต่เดิมเป็นหอคำของเจ้าเมือง ใต้ถุนสูง ไม่มีมุกแต่มีมณฑปยื่นออกมารับด้านหน้า และที่สำคัญคือไม่มการขยายแปลน เกิดจากระเบียบเดียวกันกับวัดโปงยางคก ทำไม้จากด้านนอก และปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้ประกอบได้ โดยใช้ประสบการณ์ ซึ่งลักษณะเป็นของล้านนา ประตูมีขนาดแคบ กระชั้นกับวิหาร หลังวิหารมีเจดีย์ ภายในวัดนี้ ยังมีเพิงที่เป็นเครื่องผูก สำหรับใช้เป็นร่มเงาชั่วคราว อยู่ด้านหลัง
จากนั้นเราก็เดินต่อไปยังโรงแรมใกล้ๆ ชื่อ U Chaing Mai Hotel ซึ่งโรงแรมนี้ได้ประยุกต์การใช้งานจากบ้านโบราณเดิมมาสร้างเอกลักษณ์ของโรงแรม วัสดุใหม่เก่าที่นำมาผสมผสานอย่างลงตัว ไม้เดิมทำสีใหม่ คอนกรีต กระจก เหล็ก การจัดทางเข้าด้านหน้า ดูเป็นงานสมัยใหม่ที่ยังคงมีความเป็นไทยแผงอยู่ การเลือกพืชพรรณที่นำมาใช้ บ้านหลังเดิมเป็นบ้านสีฟ้าเจ้าของเป็นท่านขุน ที่รู้ถึงประวัติศาสตร์และพยายามทำให้ไม่สูญไป พยายามรักษารูปแบบเดิมด้วยการเชื่อมต่ออาคารใหม่ให้โอบล้อมอาคารเดิมไว้โดยใช้หลังคาเดียวกัน ทำผนังให้โปร่งขึ้น โดยมี Form ใหม่ Scale ลักษณะบางอย่างสอดคล้องกับอาคารไม้ โดยมีความเข้าใจในของเดิม เน้นทางเข้าเจาะช่อง พอออกมาจากโรงแรมก็เดินกลับไปขึ้นรถที่วัดพันเตา เพื่อออกเดินทางไปยังเป้าหมายต่อไป
แล้วล้อก็หยุดหมุนที่วัดทุ่งอ้อ โดยวัดนี้มีวิหารขนาดเล็กกระทัดรัด แต่เมื่อเข้าไปแล้วรู้สึดได้ว่าใหญ่กว่าที่เห็นจากด้านนอกไม่แออัด อาจเป็นเพราะช่องแสงที่มี หลังคาที่โปร่ง และการบีบ ขยายแปลน อ.น้ำเล่าว่า วัดแห่งนี้เป็นวัดแบบเชียงใหม่โดยใช้แม่แบบเดิม ซึ่งลักษณะจะแตกต่างกับวัดลำปางหลวงตรงที่ บริเวณรอบๆวิหารจะไม่โปร่ง มีการก่ออิฐ และขยายแปลนซึ่งวัดเมื่อเช้าไม่มี หางหงส์ใบระกะจะมีขนาดเกินกว่าที่ครวจะเป็น เหงาด้านหน้าที่รับบันไดมีขนาดใหญ่มาก สูงกว่าตัวคน เพื่อลวงตาให้วิหารที่เล็กนั้นดูใหญ่ขึ้น ช่างไม่มีฝีมือ แต่ยังคงเข้าไม่ถึงความวิจิตร ลวดลายจึงแข็งประด้าง เหมือนมฑฑปวัดปงสนุก ถึงแม้วิหารของวัดนี้ยังคงเหมือนเดิม แต่ว่ารอบๆตัววิหารนั้นกลับถูกสิ่งแวดล้อมสมัยให้ส่งผลให้เปลี่ยนแปลงไป ไม่สอดคล้องกับงานเดิมที่คงอยู่ หลังจากเดินเล่ารอบวิหารเสร็จแลวก็เลยเดินไปดูรอบๆวัด ก็ยังคงมีต้นไม้ปกคลุมอยู่มากพอสมควร ที่วัดเลี้ยงไก่งวงไว้หลายตัว แต่ละตัวใหญ่มาก... ขณะที่กำลังเดินเล่นอยู่หลังวัดก็มีพระรูปหนึ่งมาเล่าให้ฟังว่าม นอกจากวิหาร เจดีย์แล้วยังมีศาลเจ้าแม่อยู่ ซึ่งคอยปกป้องอาณาบริเวณวัดด้านหลัง พอเดินไปดูเป็นเหมือนถ้ำเล็กๆ ที่สร้างไว้อยู่ด้านหลังเจดีย์
กลับมาที่รถแล้วที่ที่เราจะไปต่อวันนี้คือ วัดอินทราวาส หรือวัดต้นเก๋วน ซึ่งวัดนี้เป็นแหล่งรวมสภาพแวดล้อมที่เรียกได้ว่าเกือบจะสมบูรณ์ที่สุก แต่ภายหลังเกิดร้านขายของขึ้น ใช้วัสดุใหม่ๆที่ไม่สอดคล้องกับของเดิมทำให้เกิดความขัดแย้งเล็กน้อย รั้วของวัดนี้จะไม่ได้เป็นรั้วสีขาวฉาบปูน แต่จะเป็นรั้วอิฐ ด้านหน้าเป็นพื้นที่สาธารณะ ความงามของวัดนั้นเกิดขึ้นตามกาลเวลาจากวามเป็นสัจจะวัสดุ วัสดุที่เป็นธรรมชาติ ก็สามารถกลมกลืนกับธรรมชาติได้ มอสที่เกาะบนหลังคา ผนัง ทำให้อาคารดูอ่อนนุ่มขึ้น กุฏิจะถูกแยกออกจะเขตพุทธาวาส หลังคาสูง เน้นระนาบนอน มีการนำสายตาก่อนที่จะเข้าสู่ตัววัดซึ่งเราจะไม่สามารถเห็นภายในวัดได้ทั้งหมดก่อนที่จะเข้าไปถึงภายในวัด เมื่อเข้าไปจะเจอลานทรายขนาดใหญ่ กว้างขวาง อลังการ หลังคาบางส่วนถูกปรับเปลี่ยนไปใช้เป็นกระเบื้องเคลือบไม่ใช่กระเบื้องพื้นเมือง ช่างโบราณนัน้มีประสบการณ์และความละเอียดอ่อน อาจารย์เล่าว่าในสมัยก่อนมีต้นลำไยให้ความรู้สึกร่มรื่นอยู่ภายในวัด แต่ภายหลังมีอิทธิพลของสวนเซนเข้ามาคือต้องการความราบโล่งและวิว ถ้าคงลักษณะเดิมไว้เป็นต้นไม้ที่เกิดจากสำนึกกับเจ้าอาวาส ภูมิปัญญาเดิมและสำนึกของคนโบราณนั้นสามารถจัดเติมตกแต่งให้สวยงามเหมาะกับความเป็นอยู่แล้วการใช้สอยของพวกเขาแล้ว ต้อนไม้แต่ละต้นที่เลือกปลูกถูกคัดสรรมาอย่างดี เรื่องโครงสร้างของวัด โครงสร้างของวัดนี้มีโครงสร้างสำคัญต่อเนื่องเหมือนวัดลำปางหลวงแต่มีความอ่อนช้อยกว่า จังหวะช่วงเสาและ Space มีความไหลลื่นต่อเนื่อง สัมพันธ์กันกับการใช้สอย คน และที่ว่าโดยรอบ ในวิหารตรงบริเวณพระพุทธรูปมีฝ้าและดาวเพดาน พระประทานมีองค์เล็กไม่กินพื้นที่ทั้งหมดของวิหาร และแท่นบูชานั้นก็ไม่เหมือนกับภาคกลาง โดยเสาที่ใช้นั้นเป็นเสาคู่แต่ะถูกฉาบปูนปิดไว้ ทำให้เกิดระนาบนำสายตาสู่พระประทาน เกิดระนาบการนำสายตาที่สมบูรณ์ เปลี่ยนอารมณ์ตลอด หากมองไปด้านหน้าจะรู้สึกว่าเป็นส่วนเดียวกัน แต่เมื่อเดินออกจากวิหารจะรู้สึกว่าหลังคาเป็นตัวแบ่ง Space ทำให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นคนละส่วนกัน เนื่องจากการซ้อนชั้นของหลังคา ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมองกับสายตาจะปะทะกับหลังคาชั้นที่ต่ำกว่า ทำให้รู้สึกว่าเกิดการแยก ระเบียงคดนั้นก็มีโครงสร้างที่สวยงาม การจบมุมการเข้าไม้ เรียบร้อยมาก หลังจากที่พยายามถ่ายรูปวิหารด้านหน้าได้ก็ รีบขึ้นรถเพื่อไปยังโรงแรมราชมังคลา
รถถูกจอดไว้ที่วักพระสิงห์ และเราก็เดินไปที่ โรงแรมราชมังคลา ซึ่งโรงแรมนี้มีการศึกษา ระเบียบของที่ต่างๆนำมาใช้ประยุกต์ โดยสถานที่ที่ได้ศึกษานั้นเช่น วัดลำปางหลวง วัดตนเก๋วน วักไหล่หิน วัดโปงยางคก เนปาล อังกฤษ การที่นำเอาทุกอย่างนั้นมาอยู่ร่วมกันได้คือนำเอาส่วนที่คล้ายกันใกล้เคียงกันมาใช้ด้วยกันได้โดยปรับให้เข้ากับส่วนอื่นๆ ส่วนที่นำมาศึกษาและนำมาใช้จากอาคารตัวอย่างเหล่านั้นคือ
1.วัสดุ
2.ระเบียบการก่ออิฐ
3.ระเบียบโครงสร้าง
4.ระเบียบการเจ้าช่อง
ลานทราย และไม้พื้นถิ่นถูกนำมาใช้ การเจาะช่องที่ไม่เกินกว่าอารมณ์เดิม ความเรียบง่ายของวัสดุ ด้านหน้าบริเวณส่วนที่เป็น ห้องอาหาร พิพิธฑภัณฑ์และร้านขายของที่ระลึกนั้น เป็นการวมลักณะของอาคารทั้งจีน อังกฤษ และไทยเข้าไว้ด้วยกัน มีคอร์ทตรงกลางทำให้รูสึกโล่งพื้นบริเวณนั้นถูปูด้วยวัสดุที่เป็นธรรมชาติทำให้ดูไม่แข็ง ภายในโรงแรมมีการจัดส่วนห้องพักเป็นแบบอาคารที่ไม่สูง ซึ่งห้องพักเรียงตัวล้อมกันก่อให้เกิดพื้นที่ว่าตรงกลาง และเบรคความยาวด้วยการสร้าง โถงต่างๆขั้นกลาง และเกิดคอร์ทใหม่ ซึ่งวัสดุที่นำมาตกแต่งทุกชนิดถูกคัดสรรมาอย่างดี ผ่านกระบวนการคิด สุดปลายทางเดินไปด้านขวามือจะมีสระว่ายน้ำและอาคารพัก สองอาคาร เมื่อดูรอบโครงการแล้วก็ได้ขึ้นรถ เพื่อจะไปกินข้าวที่ไนท์บาร์ซ่า แล้วร้านที่ไปกินนี่เรียกได้ว่าสุดยอดดด สุดยอดดดด ยอดแย่ ลวงหลอกผู้บริโภคสุดๆ ทำเอากินกันไม่อร่อยเลยทีเดียว ข้าหน้าเป็ดที่มีเป็นอยู่ไม่เกิน ห้าชิ้นบางๆเหี่ยวแห้ง จานละ 60 บาท คือถ้าของมันมคุณภาพจริงจะไม่ว่าอะไรเลย พอเห็นแบบนั้น ก็เลบอกว่าจะยกเลิกแต่พอเดินไปบอกปุ๊บ อาหารที่ยังไม่ได้ทำเขาก็รีบทำทันที จึงปิดท้ายวันด้วยอารมณ์ที่ไม่ดีนัก พอเดินเสร็จก็ขึ้นรถกลับที่พัก นอนพรุ่งนี้เช้าลุยต่อ
เช้านี้อยู่ที่เชียงใหม่ ตื่นเช้ามา ก็ขึ้นรถ วันนี้มีเพื่อนไม่สบาย 2 คน อ.น้ำ เลยบอกว่าจะพาไปหาหมอที่ มช. คนที่ไม่ได้เป็นอะไรเลยแยกย้ายกันไปกินข้าวที่ กากต้นพยอมหน้ามหาวิทยาลัย ไปกินข้าวแกงร้านลุงไท ข้างโรงแรมพิงค์พยอมอร่อยมาก หลังจากกินข้าวเสร็จ เพื่อนๆก็กลับมาจากโรงพยาบาล แล้วกเดินทางต่อไปยัง วัดพันเตา เชียงใหม่ ซึ่งวัดนี้เป็นวัดไม้ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง โดยวิหารแห่งนี้เป็นวิหารไม้เทคโนโลยีที่ใช้เป็นเทคโนโลยีของช่างชั้นครู ซึ่งวิหารนี้แต่เดิมเป็นหอคำของเจ้าเมือง ใต้ถุนสูง ไม่มีมุกแต่มีมณฑปยื่นออกมารับด้านหน้า และที่สำคัญคือไม่มการขยายแปลน เกิดจากระเบียบเดียวกันกับวัดโปงยางคก ทำไม้จากด้านนอก และปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้ประกอบได้ โดยใช้ประสบการณ์ ซึ่งลักษณะเป็นของล้านนา ประตูมีขนาดแคบ กระชั้นกับวิหาร หลังวิหารมีเจดีย์ ภายในวัดนี้ ยังมีเพิงที่เป็นเครื่องผูก สำหรับใช้เป็นร่มเงาชั่วคราว อยู่ด้านหลัง
จากนั้นเราก็เดินต่อไปยังโรงแรมใกล้ๆ ชื่อ U Chaing Mai Hotel ซึ่งโรงแรมนี้ได้ประยุกต์การใช้งานจากบ้านโบราณเดิมมาสร้างเอกลักษณ์ของโรงแรม วัสดุใหม่เก่าที่นำมาผสมผสานอย่างลงตัว ไม้เดิมทำสีใหม่ คอนกรีต กระจก เหล็ก การจัดทางเข้าด้านหน้า ดูเป็นงานสมัยใหม่ที่ยังคงมีความเป็นไทยแผงอยู่ การเลือกพืชพรรณที่นำมาใช้ บ้านหลังเดิมเป็นบ้านสีฟ้าเจ้าของเป็นท่านขุน ที่รู้ถึงประวัติศาสตร์และพยายามทำให้ไม่สูญไป พยายามรักษารูปแบบเดิมด้วยการเชื่อมต่ออาคารใหม่ให้โอบล้อมอาคารเดิมไว้โดยใช้หลังคาเดียวกัน ทำผนังให้โปร่งขึ้น โดยมี Form ใหม่ Scale ลักษณะบางอย่างสอดคล้องกับอาคารไม้ โดยมีความเข้าใจในของเดิม เน้นทางเข้าเจาะช่อง พอออกมาจากโรงแรมก็เดินกลับไปขึ้นรถที่วัดพันเตา เพื่อออกเดินทางไปยังเป้าหมายต่อไป
แล้วล้อก็หยุดหมุนที่วัดทุ่งอ้อ โดยวัดนี้มีวิหารขนาดเล็กกระทัดรัด แต่เมื่อเข้าไปแล้วรู้สึดได้ว่าใหญ่กว่าที่เห็นจากด้านนอกไม่แออัด อาจเป็นเพราะช่องแสงที่มี หลังคาที่โปร่ง และการบีบ ขยายแปลน อ.น้ำเล่าว่า วัดแห่งนี้เป็นวัดแบบเชียงใหม่โดยใช้แม่แบบเดิม ซึ่งลักษณะจะแตกต่างกับวัดลำปางหลวงตรงที่ บริเวณรอบๆวิหารจะไม่โปร่ง มีการก่ออิฐ และขยายแปลนซึ่งวัดเมื่อเช้าไม่มี หางหงส์ใบระกะจะมีขนาดเกินกว่าที่ครวจะเป็น เหงาด้านหน้าที่รับบันไดมีขนาดใหญ่มาก สูงกว่าตัวคน เพื่อลวงตาให้วิหารที่เล็กนั้นดูใหญ่ขึ้น ช่างไม่มีฝีมือ แต่ยังคงเข้าไม่ถึงความวิจิตร ลวดลายจึงแข็งประด้าง เหมือนมฑฑปวัดปงสนุก ถึงแม้วิหารของวัดนี้ยังคงเหมือนเดิม แต่ว่ารอบๆตัววิหารนั้นกลับถูกสิ่งแวดล้อมสมัยให้ส่งผลให้เปลี่ยนแปลงไป ไม่สอดคล้องกับงานเดิมที่คงอยู่ หลังจากเดินเล่ารอบวิหารเสร็จแลวก็เลยเดินไปดูรอบๆวัด ก็ยังคงมีต้นไม้ปกคลุมอยู่มากพอสมควร ที่วัดเลี้ยงไก่งวงไว้หลายตัว แต่ละตัวใหญ่มาก... ขณะที่กำลังเดินเล่นอยู่หลังวัดก็มีพระรูปหนึ่งมาเล่าให้ฟังว่าม นอกจากวิหาร เจดีย์แล้วยังมีศาลเจ้าแม่อยู่ ซึ่งคอยปกป้องอาณาบริเวณวัดด้านหลัง พอเดินไปดูเป็นเหมือนถ้ำเล็กๆ ที่สร้างไว้อยู่ด้านหลังเจดีย์
กลับมาที่รถแล้วที่ที่เราจะไปต่อวันนี้คือ วัดอินทราวาส หรือวัดต้นเก๋วน ซึ่งวัดนี้เป็นแหล่งรวมสภาพแวดล้อมที่เรียกได้ว่าเกือบจะสมบูรณ์ที่สุก แต่ภายหลังเกิดร้านขายของขึ้น ใช้วัสดุใหม่ๆที่ไม่สอดคล้องกับของเดิมทำให้เกิดความขัดแย้งเล็กน้อย รั้วของวัดนี้จะไม่ได้เป็นรั้วสีขาวฉาบปูน แต่จะเป็นรั้วอิฐ ด้านหน้าเป็นพื้นที่สาธารณะ ความงามของวัดนั้นเกิดขึ้นตามกาลเวลาจากวามเป็นสัจจะวัสดุ วัสดุที่เป็นธรรมชาติ ก็สามารถกลมกลืนกับธรรมชาติได้ มอสที่เกาะบนหลังคา ผนัง ทำให้อาคารดูอ่อนนุ่มขึ้น กุฏิจะถูกแยกออกจะเขตพุทธาวาส หลังคาสูง เน้นระนาบนอน มีการนำสายตาก่อนที่จะเข้าสู่ตัววัดซึ่งเราจะไม่สามารถเห็นภายในวัดได้ทั้งหมดก่อนที่จะเข้าไปถึงภายในวัด เมื่อเข้าไปจะเจอลานทรายขนาดใหญ่ กว้างขวาง อลังการ หลังคาบางส่วนถูกปรับเปลี่ยนไปใช้เป็นกระเบื้องเคลือบไม่ใช่กระเบื้องพื้นเมือง ช่างโบราณนัน้มีประสบการณ์และความละเอียดอ่อน อาจารย์เล่าว่าในสมัยก่อนมีต้นลำไยให้ความรู้สึกร่มรื่นอยู่ภายในวัด แต่ภายหลังมีอิทธิพลของสวนเซนเข้ามาคือต้องการความราบโล่งและวิว ถ้าคงลักษณะเดิมไว้เป็นต้นไม้ที่เกิดจากสำนึกกับเจ้าอาวาส ภูมิปัญญาเดิมและสำนึกของคนโบราณนั้นสามารถจัดเติมตกแต่งให้สวยงามเหมาะกับความเป็นอยู่แล้วการใช้สอยของพวกเขาแล้ว ต้อนไม้แต่ละต้นที่เลือกปลูกถูกคัดสรรมาอย่างดี เรื่องโครงสร้างของวัด โครงสร้างของวัดนี้มีโครงสร้างสำคัญต่อเนื่องเหมือนวัดลำปางหลวงแต่มีความอ่อนช้อยกว่า จังหวะช่วงเสาและ Space มีความไหลลื่นต่อเนื่อง สัมพันธ์กันกับการใช้สอย คน และที่ว่าโดยรอบ ในวิหารตรงบริเวณพระพุทธรูปมีฝ้าและดาวเพดาน พระประทานมีองค์เล็กไม่กินพื้นที่ทั้งหมดของวิหาร และแท่นบูชานั้นก็ไม่เหมือนกับภาคกลาง โดยเสาที่ใช้นั้นเป็นเสาคู่แต่ะถูกฉาบปูนปิดไว้ ทำให้เกิดระนาบนำสายตาสู่พระประทาน เกิดระนาบการนำสายตาที่สมบูรณ์ เปลี่ยนอารมณ์ตลอด หากมองไปด้านหน้าจะรู้สึกว่าเป็นส่วนเดียวกัน แต่เมื่อเดินออกจากวิหารจะรู้สึกว่าหลังคาเป็นตัวแบ่ง Space ทำให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นคนละส่วนกัน เนื่องจากการซ้อนชั้นของหลังคา ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมองกับสายตาจะปะทะกับหลังคาชั้นที่ต่ำกว่า ทำให้รู้สึกว่าเกิดการแยก ระเบียงคดนั้นก็มีโครงสร้างที่สวยงาม การจบมุมการเข้าไม้ เรียบร้อยมาก หลังจากที่พยายามถ่ายรูปวิหารด้านหน้าได้ก็ รีบขึ้นรถเพื่อไปยังโรงแรมราชมังคลา
รถถูกจอดไว้ที่วักพระสิงห์ และเราก็เดินไปที่ โรงแรมราชมังคลา ซึ่งโรงแรมนี้มีการศึกษา ระเบียบของที่ต่างๆนำมาใช้ประยุกต์ โดยสถานที่ที่ได้ศึกษานั้นเช่น วัดลำปางหลวง วัดตนเก๋วน วักไหล่หิน วัดโปงยางคก เนปาล อังกฤษ การที่นำเอาทุกอย่างนั้นมาอยู่ร่วมกันได้คือนำเอาส่วนที่คล้ายกันใกล้เคียงกันมาใช้ด้วยกันได้โดยปรับให้เข้ากับส่วนอื่นๆ ส่วนที่นำมาศึกษาและนำมาใช้จากอาคารตัวอย่างเหล่านั้นคือ
1.วัสดุ
2.ระเบียบการก่ออิฐ
3.ระเบียบโครงสร้าง
4.ระเบียบการเจ้าช่อง
ลานทราย และไม้พื้นถิ่นถูกนำมาใช้ การเจาะช่องที่ไม่เกินกว่าอารมณ์เดิม ความเรียบง่ายของวัสดุ ด้านหน้าบริเวณส่วนที่เป็น ห้องอาหาร พิพิธฑภัณฑ์และร้านขายของที่ระลึกนั้น เป็นการวมลักณะของอาคารทั้งจีน อังกฤษ และไทยเข้าไว้ด้วยกัน มีคอร์ทตรงกลางทำให้รูสึกโล่งพื้นบริเวณนั้นถูปูด้วยวัสดุที่เป็นธรรมชาติทำให้ดูไม่แข็ง ภายในโรงแรมมีการจัดส่วนห้องพักเป็นแบบอาคารที่ไม่สูง ซึ่งห้องพักเรียงตัวล้อมกันก่อให้เกิดพื้นที่ว่าตรงกลาง และเบรคความยาวด้วยการสร้าง โถงต่างๆขั้นกลาง และเกิดคอร์ทใหม่ ซึ่งวัสดุที่นำมาตกแต่งทุกชนิดถูกคัดสรรมาอย่างดี ผ่านกระบวนการคิด สุดปลายทางเดินไปด้านขวามือจะมีสระว่ายน้ำและอาคารพัก สองอาคาร เมื่อดูรอบโครงการแล้วก็ได้ขึ้นรถ เพื่อจะไปกินข้าวที่ไนท์บาร์ซ่า แล้วร้านที่ไปกินนี่เรียกได้ว่าสุดยอดดด สุดยอดดดด ยอดแย่ ลวงหลอกผู้บริโภคสุดๆ ทำเอากินกันไม่อร่อยเลยทีเดียว ข้าหน้าเป็ดที่มีเป็นอยู่ไม่เกิน ห้าชิ้นบางๆเหี่ยวแห้ง จานละ 60 บาท คือถ้าของมันมคุณภาพจริงจะไม่ว่าอะไรเลย พอเห็นแบบนั้น ก็เลบอกว่าจะยกเลิกแต่พอเดินไปบอกปุ๊บ อาหารที่ยังไม่ได้ทำเขาก็รีบทำทันที จึงปิดท้ายวันด้วยอารมณ์ที่ไม่ดีนัก พอเดินเสร็จก็ขึ้นรถกลับที่พัก นอนพรุ่งนี้เช้าลุยต่อ
ทริป อ.จิ๋ว 4-12 ก.ค.2552
9 ก.ค.2552 (วันที่ 6)
วันที่ 6 ของการเดินทางอันยาวไกล วันนี้เราจะออกจากเชียงใหม่ไปสุโขทัยกัน แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ เช้านี้เราไปกินข้าวใน มช. หลังจากที่เรากินข้าวเสร็จแล้วเราก็ไป ศูนย์วัฒนธรรม ที่อยู่ในบริเวณมหาวิทยาลัย ซึ่งที่แห่งนี้เป็นที่รวบรวมบ้านไม้โบราณ ที่ซื้อมาจากแหล่งต่างๆ นำมาสร้างและปลูกใหม่บริเวณนี้ โดยที่บ้านบางหลังนั้นก็มีคนอยู่ ซึ่งก็มีชิวิตความเป็นอยู่ของคนที่อยู่ในลักษณะนั้นตามมาด้วย บางหลังก็ปล่อยเอาไว้ไม่มีคนอยู่ ซึ่งมีทั้งเรือนล้านนาแท้ที่เป็นเรือนไม้จริง และเป็นเรือนดัดแปลง ที่ไม่มีกาแล โดยมาก มักจะเป็นห้าห้องเสา ด้านในมีสามห้องเสา ไม่มีฝ้าเพดาน แต่ใช้ตะแกรงโปร่งแทน สามารถใช้บันไดปีนขึ้นไปวางของได้ เมื่อหลังารั่วเปลี่ยนกระเบื้องได้โดยจากด้านในได้เลย ด้านหน้าเป็นบริเวณอเนกประสงค์ ด้านหลังเป็นครัวไฟ รางน้ำมีลักษณะเป็นไม้ หลังครัวจะมีลานซักล้าง ระดับของพื้นและชานจะมีระดับต่างกัน มีชานหน้า และชานหลัง ชานจะมีน้ำสำหรับดื่มกิน ใต้ถุนมีแคร่สำหรับนั่งเล่น ห้องนอนจะเป็นพื้นที่ส่วนตัว อยู่ด้านในโดยมีประตูกั้นเอาไว้ ลักษณะของศูนย์นี้เหมือนกับเป็นหมู่บ้านต่างๆ ที่อยู่คนละสถานที่แต่นำมาอยู่รวมกัน แสดงวัฒนธรรมที่เหมือนและแตกต่างกัน เอกลักษณ์ในแต่ละท้องที่ เรือนเดิมนั้นส่วนมากก็มียุ้งข้าว ซึ่งอาจจะอยู่ด้านหน้าด้านหลัง หรือข้างๆตัวเรือนก็เป็นได้ เนื่องจากว่าเรือนหล่านี้มีการก่อสร้างที่สามารถถอดได้โดยชิ้นส่วนต่างๆใช้การเข้าไม้ ตะปู จึงสามารถถอดและนำมาแสดงในอีกที่ได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องน่ายกย่องสำหรับเทคนิคและวิธีการช่างโบราณ ซึ่งเป็นความรู้ที่เกิดขึ้นจากภูมิปัญญาท้องถิ่นประสบการณ์ หลังจากที่เราดูเสร็จก็ออกไปกินข้าวที่เดียวกับเมื่อวานคือกาดก้นพยอม แล้วก็ซื้อแคบหมูน้ำพริกหนุ่มไปกินเป็นเสบียงในรถเพื่อเตรียมตัวเดินทางต่อ
ระหว่างทางที่จะไปสุโขทัยเราก็ได้แวะที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในจังหวัดแพร่ ซึ่งยังคงไว้ซึ่งลักษะท้องถิ่น อาจมีบางส่วนที่นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ บ้างแต่ก็ยังไม่ขัดกับรูปแบบเดิม หลังจากที่เดินไปเรื่อยๆ ก็ได้เข้าไปพบบ้านหลังหนึ่ง ซึ้งบ้านหลังนี้สำหรับตัวข้าพเจ้าแล้วรู้สึกว่าเป็นบ้านที่ประทับใจที่สุด เป็นเรือนไม้จริง เทคนิคการก่อสร้างก็เรียบง่ายไม่เรียบร้อยขนาดบ้านมะกอก ที่ลำพูน ลักษณะของงานนี้เป็นงานพื้นบ้าน แต่สัมผัสเรื่อง Space มุมมอง และการใช้งานดูออกจะหวือหวาผิดกับภายนอก ซึ่งภายนอกดูเป็นเรือนธรรมดาๆสองหลังเชื่อมต่อกัน มีบันไดจากสองข้าง แต่ด้านใน เมื่อเข้าไป มีความทึบ โปร่ง ซึ่งเหมือนคิดและคัดมาอย่างดี มีการถ่ายเท Space ในลักษณะ human scale และ over ทำให้ในแต่ละมุมมีมุมมองและความรู้สึกที่ต่างกัน ส่วนที่เป็นครัวด้านหลัง ทำหน้าที่เชื่อมต่อกับภายนอกด้วยระเบียงที่ไม่สูงบดบังสายตา ส่วนกั้นต่างๆที่มีความสูงต่ำต่างกัน การยกพื้นทีสูงขึ้นมาถูกแก้ด้วยเพิ่มบันไดที่สามารถเปลี่ยนเป็นม้านั่งได้ด้วย ใต้ถุนด้านล่างบริเวณที่เป็นแคร่ก็เปิดมุมมองรอบบ้านได้อย่างเต็มที่ เสียดายที่รูปที่ถ่ายออกมาไม่ค่อยดีเนื่องจากว่า มันใกล้ค่ำ
หลังจากที่ออกจากหมู่บ้าน ก็มุ่งตรงไปสู่สุโขทัยเข้าที่พัก ออกมากินข้าวเย็นมื้อค่ำ แล้วกลับไปเตรียมตัวไปต่อวันพรุ่งนี้
วันที่ 6 ของการเดินทางอันยาวไกล วันนี้เราจะออกจากเชียงใหม่ไปสุโขทัยกัน แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ เช้านี้เราไปกินข้าวใน มช. หลังจากที่เรากินข้าวเสร็จแล้วเราก็ไป ศูนย์วัฒนธรรม ที่อยู่ในบริเวณมหาวิทยาลัย ซึ่งที่แห่งนี้เป็นที่รวบรวมบ้านไม้โบราณ ที่ซื้อมาจากแหล่งต่างๆ นำมาสร้างและปลูกใหม่บริเวณนี้ โดยที่บ้านบางหลังนั้นก็มีคนอยู่ ซึ่งก็มีชิวิตความเป็นอยู่ของคนที่อยู่ในลักษณะนั้นตามมาด้วย บางหลังก็ปล่อยเอาไว้ไม่มีคนอยู่ ซึ่งมีทั้งเรือนล้านนาแท้ที่เป็นเรือนไม้จริง และเป็นเรือนดัดแปลง ที่ไม่มีกาแล โดยมาก มักจะเป็นห้าห้องเสา ด้านในมีสามห้องเสา ไม่มีฝ้าเพดาน แต่ใช้ตะแกรงโปร่งแทน สามารถใช้บันไดปีนขึ้นไปวางของได้ เมื่อหลังารั่วเปลี่ยนกระเบื้องได้โดยจากด้านในได้เลย ด้านหน้าเป็นบริเวณอเนกประสงค์ ด้านหลังเป็นครัวไฟ รางน้ำมีลักษณะเป็นไม้ หลังครัวจะมีลานซักล้าง ระดับของพื้นและชานจะมีระดับต่างกัน มีชานหน้า และชานหลัง ชานจะมีน้ำสำหรับดื่มกิน ใต้ถุนมีแคร่สำหรับนั่งเล่น ห้องนอนจะเป็นพื้นที่ส่วนตัว อยู่ด้านในโดยมีประตูกั้นเอาไว้ ลักษณะของศูนย์นี้เหมือนกับเป็นหมู่บ้านต่างๆ ที่อยู่คนละสถานที่แต่นำมาอยู่รวมกัน แสดงวัฒนธรรมที่เหมือนและแตกต่างกัน เอกลักษณ์ในแต่ละท้องที่ เรือนเดิมนั้นส่วนมากก็มียุ้งข้าว ซึ่งอาจจะอยู่ด้านหน้าด้านหลัง หรือข้างๆตัวเรือนก็เป็นได้ เนื่องจากว่าเรือนหล่านี้มีการก่อสร้างที่สามารถถอดได้โดยชิ้นส่วนต่างๆใช้การเข้าไม้ ตะปู จึงสามารถถอดและนำมาแสดงในอีกที่ได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องน่ายกย่องสำหรับเทคนิคและวิธีการช่างโบราณ ซึ่งเป็นความรู้ที่เกิดขึ้นจากภูมิปัญญาท้องถิ่นประสบการณ์ หลังจากที่เราดูเสร็จก็ออกไปกินข้าวที่เดียวกับเมื่อวานคือกาดก้นพยอม แล้วก็ซื้อแคบหมูน้ำพริกหนุ่มไปกินเป็นเสบียงในรถเพื่อเตรียมตัวเดินทางต่อ
ระหว่างทางที่จะไปสุโขทัยเราก็ได้แวะที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในจังหวัดแพร่ ซึ่งยังคงไว้ซึ่งลักษะท้องถิ่น อาจมีบางส่วนที่นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ บ้างแต่ก็ยังไม่ขัดกับรูปแบบเดิม หลังจากที่เดินไปเรื่อยๆ ก็ได้เข้าไปพบบ้านหลังหนึ่ง ซึ้งบ้านหลังนี้สำหรับตัวข้าพเจ้าแล้วรู้สึกว่าเป็นบ้านที่ประทับใจที่สุด เป็นเรือนไม้จริง เทคนิคการก่อสร้างก็เรียบง่ายไม่เรียบร้อยขนาดบ้านมะกอก ที่ลำพูน ลักษณะของงานนี้เป็นงานพื้นบ้าน แต่สัมผัสเรื่อง Space มุมมอง และการใช้งานดูออกจะหวือหวาผิดกับภายนอก ซึ่งภายนอกดูเป็นเรือนธรรมดาๆสองหลังเชื่อมต่อกัน มีบันไดจากสองข้าง แต่ด้านใน เมื่อเข้าไป มีความทึบ โปร่ง ซึ่งเหมือนคิดและคัดมาอย่างดี มีการถ่ายเท Space ในลักษณะ human scale และ over ทำให้ในแต่ละมุมมีมุมมองและความรู้สึกที่ต่างกัน ส่วนที่เป็นครัวด้านหลัง ทำหน้าที่เชื่อมต่อกับภายนอกด้วยระเบียงที่ไม่สูงบดบังสายตา ส่วนกั้นต่างๆที่มีความสูงต่ำต่างกัน การยกพื้นทีสูงขึ้นมาถูกแก้ด้วยเพิ่มบันไดที่สามารถเปลี่ยนเป็นม้านั่งได้ด้วย ใต้ถุนด้านล่างบริเวณที่เป็นแคร่ก็เปิดมุมมองรอบบ้านได้อย่างเต็มที่ เสียดายที่รูปที่ถ่ายออกมาไม่ค่อยดีเนื่องจากว่า มันใกล้ค่ำ
หลังจากที่ออกจากหมู่บ้าน ก็มุ่งตรงไปสู่สุโขทัยเข้าที่พัก ออกมากินข้าวเย็นมื้อค่ำ แล้วกลับไปเตรียมตัวไปต่อวันพรุ่งนี้
ทริป อ.จิ๋ว 4-12 ก.ค.2552
10 ก.ค.2552 (วันที่ 7)
ตื่นขึ้นมาตอนเช้าวันนี้ไป สนามบินสุโขทัย ซึ่งผู้ออกแบบล้อเลียนโครงสร้างระเบียบแบบเดิมแต่ไม่ได้ตามวรรณคดี เสากลมไม่ตีฝ้า ลดชันหลังคา ใช้จันทันแทนม้าต่างไหม ใช้ระเบียบการเรียงอิฐในรูปแบบเดิม โดยวันนี้เรามีวิทยากรคือ คุณปู สนามบินแห่งนี้เป็นสนามบินของบริษัทการบินกรุงเทพจำกัด ซึ่งได้รับรางวัลจากสมาคมสถาปนิกสยาม ซึ่งถึงแม้ว่าระเบียบทุกอย่างจะไม่ได้ถูกลอกมาจากสมัยสุโขทัย แต่ก็ยังคงไว้เรื่องการเจาะช่องแสง เรื่องพื้นที่ภายใน ด้านหน้าที่เป็นโถงผู้โดยสารขาออกมีลักษณะป็นโถงขนาดใหญ่ เพื่อตรวจและรับกระเป๋า เมื่อผู้โดยสาร Check-in เรียบร้อยแล้วก็ก็เข้าไปด้านในเพื่อรอเครื่องออก ซึ่งเป็นโถงโปร่งโล่ง หลังคาสูงไม่ตีฝ้า มองออกไปเห็น รันเวย์ และอีกทั้งเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญของสุโขทัย หลังจากนั้นก็ออกมาดูจากด้านหลัง ซึ่อาคารจะมีลักษณะใหญ่เล็กตามรูปด้าน เมื่อออกมานั่งรถชมรอบสนามบิน โดยที่รอบๆบริเวณสนามบินนี้เลี้ยงสัตว์ต่างๆ และเพาะพันธุ์ต้นไม้ต่างๆมากมาย นั่งรถไปต่อที่โรงแรมในสนามบิน สุโขทัยเฮอริเทจ รีสอร์ท ซึ่งโรงแรมนี้ได้มีลักษณะการออกแบบโดยใช้ลักษณะระเบียบบางอย่างจากสุโขทัย เช่น การเปิดช่องแสง การก่ออิฐ อาจเป็นเพราะได้ไปดูโรงแรมที่เชียงใหม่มาแล้ว เลยไม่ค่อยรู้สึกตื่นเต้นกับโรงแรมนี้เท่าไหร่ แอบเห็นสิ่งแปลกๆ ที่สถาปนิดพยายามซ่อนอยู่บนหลังคา ซึ่งเป็นทัศนียภาพที่ค่อนข้างไม่ดี ลักษณะหลังคาของโถงต่างๆ ก็ยังคงไม่ตีฝ้า เพื่อให้เห็นระเบียบโครงสร้างที่ชัดเจน หลังจากที่เราดูโรงแรมเสร็จเราก็ขึ้นรถต่อไปยัง ศูนย์อนุรักษ์เตาสังคโลก หลังจากที่เรานั่งรถชมเรียบร้อย แล้วเราก็ไปกินข้าว ซึ่งรอนานมาก พอกินเสร็จก็ขึ้นรถต่อไปยัง ศูนย์อนุรักษ์เตาสังคโลก
ศูนย์อนุรักษ์เตาสังคโลกนี้ ได้รับการออกแบบโดยภูมิสถาปนิก ด้วยอาคารนี้เป็นการอนุรักษ์วัตถุโบราณ มีการนำเอารูปแบบบางส่วนของงานสถาปัตยกรรมแบบสุโขทัยมาใช้ เช่นการเปิดช่องแสง แนวกำแพงก่ออิฐ แต่ส่วนอื่นๆแทบจะไม่ได้เป็นลักษณะเดิม แต่สามารถสัมผัสได้ว่ามีความเชื่อมต่อกันอยู่ ลักษณะการเดินภายในอาคารจะมี วิธีการวางลักษณะการเดินที่แตกต่างกับแนวความคิดของสถาปนิก จะมีการเดินอยู่ภายในอาคารและออกมานอกอาคาร ซึ่งก็เป็นรูปแบบที่ดีอย่างเสียอย่างคือทำให้รู้สึกไม่เบื่อหรือเกิดความซ้ำซากจำเจแบบเดิม แต่ข้อเสียก็คือการจัดวางทางเดินในรูปแบบนี้จะเป็นการทำให้การเดินชมงานนิทรรศการภายในนั้นอาจเกิดความขาดตอน เพราะเนื่องจากเดินหลุดทางเดินที่ได้กำหนดไว้ และบางครั้งอาจให้ความสำคัญกับส่วนอื่นมากกว่าสิ่งที่ควรจะให้ความสนใจ อาคารหลังนี้สร้างขึ้นเพื่อคลุมเตาทุรียน ที่อยู่ด้านในไม่ให้เสื่อมไปตามกาลเวลา หลังคาด้านในใช้โครงสร้าง Truss ซึ่งเป็นวิธีการของสมัยใหม่เข้ามาช่วย เพื่อให้เสาภายในอาคารลดลง เมื่อดูภายในอาคารเสร็จแล้วก็เดินออกไปด้านนอกซึ่งมีบ้านืพื้นถิ่น มัลักษณะ ยกใต้ถุนสูง ด้านล่างเป็นที่นั่งพักผ่อน มีชานด้านนอก และด้านหลังเป็นครัว ซึ่งบ้านหลังนี้ใช้ฝาผนังเป็นที่เก็บของ จำพวกเครื่องใช้ต่างๆ ก็เป็นการประดับตกแต่งที่สวยงาม อีกรูปแบบหนึ่งที่เราคิดไม่ถึง ซึ่งเกิดจากชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวบ้านเหล่านั้นจริงๆ ทำให้คิดได้ว่า บางครั้งเรายัดเยียดอะไรเกินความจำเป็นให้กับพวกเข้าเหล่านั้นมากเกินไปหรือเปล่า เพราะอย่างไรคนเราก็ไม่สามารถหลีกหนี ชีวิตและความเป็นอยู่ของตนเองได้
ต่อมาเรามาที่วัดอรัญยิก หรือวัดเจดีย์ 9 ยอด ใช้ระเบียบการก่อสร้างเจดีย์แบบ ผนังรับน้ำหนัก โดยนำศิลาแลงมาเรียงตัวกันเป็นซุมประตู คล้ายการก่อแบบ corbel มีการสร้างด้วยศิลาแลงเล่นระดับ และเชื่อมต่อกับพื้นที่ที่เป็นแนวเชิงเขาได้อย่างแนบเนียน เสาที่เป็นศิลาแลงที่เลียนแบบเสาไม้ เล่นย่อมุม มีการลดระดับชั้นแบบล้านนา มีมุกยื่นไปรับด้านหน้า บันได มีแมสตัน การก่ออิฐ และรูป Form ของธรรมชาติ การนำสายตาเข้าสู่องค์พระและเจดีย์ การจัด ทางเดินที่ให้เดินอ้อมรอบก่อนจะเข้าไปถึง หลังจากที่ชมวัดนีเสร็จแล้วก็ขึ้นรถต่อไป ยังอุทยาแห่งชาติศรีสัชนาลัย ซึ่งมีฝนตกในตอนแรก บริเวณนี้เป็นโบราณสถานที่เหลือ เป็นเสา ผนัง ซึ่งหากถ้ายังคงเป็นอาคารที่เป็นหลังๆ เราคงเห็นรายละเอียด องค์ประกอบต่างๆเหล่านี้ ถูกถอดออกมาเป็นระนาบ เส้น ความทึบตัน โปร่งโล่ง ไม่ได้ชัดเจนขนาดนี้ ลายปูนปั้นบนผนังที่หลงเหลืออยู่ มีความงดงามมาก แสดงถึงความสามารถของช่างในอดีต หลังคาของวัดแต่ละแห่งนั้นไม่มีหลงเหลืออยู่ อาจเป็นเพราะสมัยก่อนโครงสร้างหลังคาเป็นโครงสร้างไม้ และกระเบื้อง ซึ่งเสื่อมได้รวดเร็วกว่าการก่ออิฐ เดินเข้าไปเรื่อยๆ ก็ เจอวิหารและเจดีย์ที่มีความเหมือนและแตกต่างกันบ้าง วัดสุดท้ายที่เราไปถึงคือวัดช้างล้อม ซึ่งข้าพเจ้าไม่ได้เข้าไปดูน่าเสียดายมาก เพราะเกิดเหตุฉุกเฉินข้าศึกบุก แล้วกลับมาไม่ทัน ได้เห็นเพียงแต่รอบนอก จากมุมมองของข้าพเจ้า ความสวยงาม ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เกิดขึ้นเพียงแต่เรื่องสถาปัตยกรรม แต่ในบริบทรอบข้างที่แวดล้อมอยู่นั้น ส่งเสริมให้ตัวสถาปัตยกรรมงดงามยิ่งขึ้น ความเสื่อมโทรมตามกาลเวลาทำให้ มีความกลมกลืนกับธรรมชาติมากยิ่งขึ้น ก่อนออกมาเดินตามทางเดิน แล้ว เห็นทุ่งและมีนกสีขาวเกาะต้นไม้เต็มไปหมดเลย ซึ่งไม่มีทางได้เห็นภาพแบบนี้ในกรุงเทพฯ แน่นอน อยากให้กรุงเทพฯมีส่วนที่เป็นพื้นที่แบบนี้บ้าง ความพอดีมันอยู่ที่ไหน
ต่อมาที่วัดพระศรีมหาธาตุเชลียง วัดนี้เป็นวัดที่ถือได้ว่ามีพระพุทธรูปปางลีลาที่ถือได้ว่างดงามที่สุดของสุโขทัย ซึ่งภาพพุทธรูปนี้ได้เห็นตั้งแต่เรียนปีหนึ่ง วิชาเลือกศิลปะไทย แล้วเกิดความประทับใจและอยากมาเห็นของจริง วันนี้ด้าเห็นของจริงแล้ว เย้ๆ เสียดายนิดหน่อยที่มาตอนค่ำ ด้านหน้ามีซุ้มประตูที่มีลายปูนปั้นรูปนางฟ้าในลีลาที่สวยงามอยู่ด้านข้าง ซึ่งเมื่อเดินเข้าไป จะพบพระประทานอยู่ตรงกลางของวิหาร ซึ่งอยู่สูงสุด ด้านหลังเห็นฉากเป็นเจดีย์ที่มีอิทธิพลของอยุธยา เมื่อมองมาด้านข้างซ้ายมือ มีพระพุทธรูปปางลีลาอยู่หนึ่งรูป ซึ่งมีแขนเหมือนงวงช้าง พระพุทธรูปรูปนี้มีพระพักตร์ที่สวยงาม แต่รายละเอียดนั้นยังเห็นไม่ชัดเพราะว่ามันมืดแล้ว อ.น้ำ เลยเดินมาว่าจะมาอีกครั้งพรุ่งนี้ดีหรือเปล่า ถ้ามาจะต้องออกจากโรงแรมตี 5 แต่พวกเราก็สู้เพราะว่าอยากเห็นตอนเช้า เลยตกลงกันว่าจะมาพรุ่งนี้เช้าอีกที แล้วก็เดินเล่นรอบวิหาร แล้วก็ลองขึ้นไปบนเจดีย์ พอลงมาแล้วก็ขึ้นรถกลับที่พัก
ตื่นขึ้นมาตอนเช้าวันนี้ไป สนามบินสุโขทัย ซึ่งผู้ออกแบบล้อเลียนโครงสร้างระเบียบแบบเดิมแต่ไม่ได้ตามวรรณคดี เสากลมไม่ตีฝ้า ลดชันหลังคา ใช้จันทันแทนม้าต่างไหม ใช้ระเบียบการเรียงอิฐในรูปแบบเดิม โดยวันนี้เรามีวิทยากรคือ คุณปู สนามบินแห่งนี้เป็นสนามบินของบริษัทการบินกรุงเทพจำกัด ซึ่งได้รับรางวัลจากสมาคมสถาปนิกสยาม ซึ่งถึงแม้ว่าระเบียบทุกอย่างจะไม่ได้ถูกลอกมาจากสมัยสุโขทัย แต่ก็ยังคงไว้เรื่องการเจาะช่องแสง เรื่องพื้นที่ภายใน ด้านหน้าที่เป็นโถงผู้โดยสารขาออกมีลักษณะป็นโถงขนาดใหญ่ เพื่อตรวจและรับกระเป๋า เมื่อผู้โดยสาร Check-in เรียบร้อยแล้วก็ก็เข้าไปด้านในเพื่อรอเครื่องออก ซึ่งเป็นโถงโปร่งโล่ง หลังคาสูงไม่ตีฝ้า มองออกไปเห็น รันเวย์ และอีกทั้งเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญของสุโขทัย หลังจากนั้นก็ออกมาดูจากด้านหลัง ซึ่อาคารจะมีลักษณะใหญ่เล็กตามรูปด้าน เมื่อออกมานั่งรถชมรอบสนามบิน โดยที่รอบๆบริเวณสนามบินนี้เลี้ยงสัตว์ต่างๆ และเพาะพันธุ์ต้นไม้ต่างๆมากมาย นั่งรถไปต่อที่โรงแรมในสนามบิน สุโขทัยเฮอริเทจ รีสอร์ท ซึ่งโรงแรมนี้ได้มีลักษณะการออกแบบโดยใช้ลักษณะระเบียบบางอย่างจากสุโขทัย เช่น การเปิดช่องแสง การก่ออิฐ อาจเป็นเพราะได้ไปดูโรงแรมที่เชียงใหม่มาแล้ว เลยไม่ค่อยรู้สึกตื่นเต้นกับโรงแรมนี้เท่าไหร่ แอบเห็นสิ่งแปลกๆ ที่สถาปนิดพยายามซ่อนอยู่บนหลังคา ซึ่งเป็นทัศนียภาพที่ค่อนข้างไม่ดี ลักษณะหลังคาของโถงต่างๆ ก็ยังคงไม่ตีฝ้า เพื่อให้เห็นระเบียบโครงสร้างที่ชัดเจน หลังจากที่เราดูโรงแรมเสร็จเราก็ขึ้นรถต่อไปยัง ศูนย์อนุรักษ์เตาสังคโลก หลังจากที่เรานั่งรถชมเรียบร้อย แล้วเราก็ไปกินข้าว ซึ่งรอนานมาก พอกินเสร็จก็ขึ้นรถต่อไปยัง ศูนย์อนุรักษ์เตาสังคโลก
ศูนย์อนุรักษ์เตาสังคโลกนี้ ได้รับการออกแบบโดยภูมิสถาปนิก ด้วยอาคารนี้เป็นการอนุรักษ์วัตถุโบราณ มีการนำเอารูปแบบบางส่วนของงานสถาปัตยกรรมแบบสุโขทัยมาใช้ เช่นการเปิดช่องแสง แนวกำแพงก่ออิฐ แต่ส่วนอื่นๆแทบจะไม่ได้เป็นลักษณะเดิม แต่สามารถสัมผัสได้ว่ามีความเชื่อมต่อกันอยู่ ลักษณะการเดินภายในอาคารจะมี วิธีการวางลักษณะการเดินที่แตกต่างกับแนวความคิดของสถาปนิก จะมีการเดินอยู่ภายในอาคารและออกมานอกอาคาร ซึ่งก็เป็นรูปแบบที่ดีอย่างเสียอย่างคือทำให้รู้สึกไม่เบื่อหรือเกิดความซ้ำซากจำเจแบบเดิม แต่ข้อเสียก็คือการจัดวางทางเดินในรูปแบบนี้จะเป็นการทำให้การเดินชมงานนิทรรศการภายในนั้นอาจเกิดความขาดตอน เพราะเนื่องจากเดินหลุดทางเดินที่ได้กำหนดไว้ และบางครั้งอาจให้ความสำคัญกับส่วนอื่นมากกว่าสิ่งที่ควรจะให้ความสนใจ อาคารหลังนี้สร้างขึ้นเพื่อคลุมเตาทุรียน ที่อยู่ด้านในไม่ให้เสื่อมไปตามกาลเวลา หลังคาด้านในใช้โครงสร้าง Truss ซึ่งเป็นวิธีการของสมัยใหม่เข้ามาช่วย เพื่อให้เสาภายในอาคารลดลง เมื่อดูภายในอาคารเสร็จแล้วก็เดินออกไปด้านนอกซึ่งมีบ้านืพื้นถิ่น มัลักษณะ ยกใต้ถุนสูง ด้านล่างเป็นที่นั่งพักผ่อน มีชานด้านนอก และด้านหลังเป็นครัว ซึ่งบ้านหลังนี้ใช้ฝาผนังเป็นที่เก็บของ จำพวกเครื่องใช้ต่างๆ ก็เป็นการประดับตกแต่งที่สวยงาม อีกรูปแบบหนึ่งที่เราคิดไม่ถึง ซึ่งเกิดจากชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวบ้านเหล่านั้นจริงๆ ทำให้คิดได้ว่า บางครั้งเรายัดเยียดอะไรเกินความจำเป็นให้กับพวกเข้าเหล่านั้นมากเกินไปหรือเปล่า เพราะอย่างไรคนเราก็ไม่สามารถหลีกหนี ชีวิตและความเป็นอยู่ของตนเองได้
ต่อมาเรามาที่วัดอรัญยิก หรือวัดเจดีย์ 9 ยอด ใช้ระเบียบการก่อสร้างเจดีย์แบบ ผนังรับน้ำหนัก โดยนำศิลาแลงมาเรียงตัวกันเป็นซุมประตู คล้ายการก่อแบบ corbel มีการสร้างด้วยศิลาแลงเล่นระดับ และเชื่อมต่อกับพื้นที่ที่เป็นแนวเชิงเขาได้อย่างแนบเนียน เสาที่เป็นศิลาแลงที่เลียนแบบเสาไม้ เล่นย่อมุม มีการลดระดับชั้นแบบล้านนา มีมุกยื่นไปรับด้านหน้า บันได มีแมสตัน การก่ออิฐ และรูป Form ของธรรมชาติ การนำสายตาเข้าสู่องค์พระและเจดีย์ การจัด ทางเดินที่ให้เดินอ้อมรอบก่อนจะเข้าไปถึง หลังจากที่ชมวัดนีเสร็จแล้วก็ขึ้นรถต่อไป ยังอุทยาแห่งชาติศรีสัชนาลัย ซึ่งมีฝนตกในตอนแรก บริเวณนี้เป็นโบราณสถานที่เหลือ เป็นเสา ผนัง ซึ่งหากถ้ายังคงเป็นอาคารที่เป็นหลังๆ เราคงเห็นรายละเอียด องค์ประกอบต่างๆเหล่านี้ ถูกถอดออกมาเป็นระนาบ เส้น ความทึบตัน โปร่งโล่ง ไม่ได้ชัดเจนขนาดนี้ ลายปูนปั้นบนผนังที่หลงเหลืออยู่ มีความงดงามมาก แสดงถึงความสามารถของช่างในอดีต หลังคาของวัดแต่ละแห่งนั้นไม่มีหลงเหลืออยู่ อาจเป็นเพราะสมัยก่อนโครงสร้างหลังคาเป็นโครงสร้างไม้ และกระเบื้อง ซึ่งเสื่อมได้รวดเร็วกว่าการก่ออิฐ เดินเข้าไปเรื่อยๆ ก็ เจอวิหารและเจดีย์ที่มีความเหมือนและแตกต่างกันบ้าง วัดสุดท้ายที่เราไปถึงคือวัดช้างล้อม ซึ่งข้าพเจ้าไม่ได้เข้าไปดูน่าเสียดายมาก เพราะเกิดเหตุฉุกเฉินข้าศึกบุก แล้วกลับมาไม่ทัน ได้เห็นเพียงแต่รอบนอก จากมุมมองของข้าพเจ้า ความสวยงาม ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เกิดขึ้นเพียงแต่เรื่องสถาปัตยกรรม แต่ในบริบทรอบข้างที่แวดล้อมอยู่นั้น ส่งเสริมให้ตัวสถาปัตยกรรมงดงามยิ่งขึ้น ความเสื่อมโทรมตามกาลเวลาทำให้ มีความกลมกลืนกับธรรมชาติมากยิ่งขึ้น ก่อนออกมาเดินตามทางเดิน แล้ว เห็นทุ่งและมีนกสีขาวเกาะต้นไม้เต็มไปหมดเลย ซึ่งไม่มีทางได้เห็นภาพแบบนี้ในกรุงเทพฯ แน่นอน อยากให้กรุงเทพฯมีส่วนที่เป็นพื้นที่แบบนี้บ้าง ความพอดีมันอยู่ที่ไหน
ต่อมาที่วัดพระศรีมหาธาตุเชลียง วัดนี้เป็นวัดที่ถือได้ว่ามีพระพุทธรูปปางลีลาที่ถือได้ว่างดงามที่สุดของสุโขทัย ซึ่งภาพพุทธรูปนี้ได้เห็นตั้งแต่เรียนปีหนึ่ง วิชาเลือกศิลปะไทย แล้วเกิดความประทับใจและอยากมาเห็นของจริง วันนี้ด้าเห็นของจริงแล้ว เย้ๆ เสียดายนิดหน่อยที่มาตอนค่ำ ด้านหน้ามีซุ้มประตูที่มีลายปูนปั้นรูปนางฟ้าในลีลาที่สวยงามอยู่ด้านข้าง ซึ่งเมื่อเดินเข้าไป จะพบพระประทานอยู่ตรงกลางของวิหาร ซึ่งอยู่สูงสุด ด้านหลังเห็นฉากเป็นเจดีย์ที่มีอิทธิพลของอยุธยา เมื่อมองมาด้านข้างซ้ายมือ มีพระพุทธรูปปางลีลาอยู่หนึ่งรูป ซึ่งมีแขนเหมือนงวงช้าง พระพุทธรูปรูปนี้มีพระพักตร์ที่สวยงาม แต่รายละเอียดนั้นยังเห็นไม่ชัดเพราะว่ามันมืดแล้ว อ.น้ำ เลยเดินมาว่าจะมาอีกครั้งพรุ่งนี้ดีหรือเปล่า ถ้ามาจะต้องออกจากโรงแรมตี 5 แต่พวกเราก็สู้เพราะว่าอยากเห็นตอนเช้า เลยตกลงกันว่าจะมาพรุ่งนี้เช้าอีกที แล้วก็เดินเล่นรอบวิหาร แล้วก็ลองขึ้นไปบนเจดีย์ พอลงมาแล้วก็ขึ้นรถกลับที่พัก
ทริป อ.จิ๋ว 4-12 ก.ค.2552
11 ก.ค.2552 (วันที่ 8)
วันนี้ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อกลับไปที่วัดพระศรีมหาธาตุเชลียง ต้องออกจากที่พักตั้งแต่ตีห้า แต่ด้วยความคิดที่ว่า ออกจากที่พักตีห้าครึ่ง เลยทำให้ห้องของพวกเรากรี๊ด เมื่อมีคนบอกว่ารถกำลังจะออกแล้ว จากที่นอนเลื้อยกันอยู่บนเตียง ก็สะดุ้งขึ้นมาแปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อ แล้วโผล่ลงมาข้างล่างภายในเวลาไม่เกิน สามนาที ฮ่าๆๆ คิดดูว่าจะได้ผ่านน้ำกันมั๊ย หลังจากที่พวกเราลงมาได้สักครู่หนึ่ง รถก็เคลื่อนออกจากที่พักทันที เมื่อถึงวัด เราก็ฟังอาจารย์บรรยายเล็กน้อย และก็แยกย้ายไปถ่ายรูป เลยรีบเดินไปที่พระพุทธรูปปางลีลาที่อยู่ด้านซ้ายมือของวิหาร เมื่อมองหงายขึ้น พระพุทธรูปที่อยู่นิ่งๆนั้น เหมือนกับว่าทำท่าจะเดินออกมาจากแผงด้านหลัง ลายปูนฉาบที่เกลี่ยเป็นจีวรนั้นดูบางและพลิ้วไหวมาก พระพักตร์ดูมีเมตตา สวยงาม สัดส่วนที่เห็นจากการแหงนหน้ามองจากด้านล่างดูสมบูรณ์แบบมากกว่า การมองจากด้านหน้า เนื่องจากว่าช่างโบราณนั้นได้คิดผ่านการใช้สอยของชาวบ้าน เนื่องจากว่าโดยทั่วไปแล้วคนที่มาที่วิหารจะมองพระในลักษณะนั่งก้มกราบ โดยภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ใช้นั้นลึกซึ้งมาก หลังจากที่ชมความงดงามจนเพียงพอแล้ว ก็ไปดูที่บริเวณเจดีย์ด้านหลัง แล้วขึ้นไปมองลงมาจากด้านบนสวยงามมาก หลังจากนั้นก็เดินลงมาถ่ายภาพด้านล่างเก็บรายละเอียดส่วนต่างๆ และไปถวายเทียนพรรษาร่วมกัน
ออกจากวัดแล้วก็ไปต่อกันที่ วัดกุฎีลาย ซึ่งวัดนี้แสดงให้เราเก็นถึงการก่อประตูแบบ Corbel ที่เราเรียนกันในวิชา ประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม เนื่องจากว่าปูนที่ได้ฉาบไปกระเทาะร่อนหลุดออกมา ทำให้เราเห็นการก่ออย่างชัดเจน เมื่อมองแล้วก่อให้รู้สึกว่า ขนาดสถานที่ที่ห่างไกลกันขนาดนี้ ยังมีเทคนิคและวิธีการที่เป็นรูปแบบเดียวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ และการที่เรียนในหนังสือ แล้วมาได้เห็นภาพจริงทำให้เราสามารถตรวจสอบตัวเองได้ว่า สิ่งที่เราเรียนมานั้นเราเข้าใจถูกต้องจริงหรือไม่ แล้วก็ขึ้นรถไปที่อุทยานสุขโขทัยเป็นที่ต่อไป วัดต่อมาชื่อวัดมหาธาตุสุโขทัย การที่พวกเรามาที่สุโขทัยนั้น เราไม่มีวัดที่เป็นแบบอย่างที่ชัดเจน ไม่มีวิหารให้เห็นอย่างเต็มรูปแบบ เหลือแต่เพียงโครงสร้าง การเรียนรู้ในเรื่องระนาบ เหมือนกับที่เราเรียน visual ตอนปีหนึ่ง ทำให้เราฝึกความเข้าใจในเรื่องงานสถาปัตยกรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่นฝีมือและเทคนิคต่างๆของช่างสมัยก่อนที่มีมากมายน่าเหลือเชื่อ เดินต่อมายังวัดพลับพลายหลวงการแสดงพื้นผิวของหิน เส้นตั้งเส้นนอนที่มีความใหญ่เล็กหนาบาง ก่อให้เกิดมุมมอง ที่สวยงาม ถึงแม้ว่างานบางชิ้นนั้น ได้รับอิทธิพลมาจากที่เดียวกันแต่การคลี่คลายฝีมือของช่างก็จะทำให้งานที่อยู่ในที่ต่างๆมีเอกลักษณ์ เช่น เจดีย์ที่มีกลับขนุนของสุโขทัยนั้น การเซาะร่องการ ทำนูนสูง รายละเดียดต่างๆก็จะมีความแต่กต่างจากเจดีย์ที่ได้รับอิทธิพลจากขอม การทิ้งระยะทำให้เกิดความลอยตัวของ Form บางครั้งหากมีต้นไม้เยอเกินไปก็จะทำใหอาคารดูไม่สง่า จึงต้นให้ต้นม้เป็นส่วนเสริมของอาคาร แมสสลับซับซ้อนสัมพันธ์กับแมกไม้ที่เป็นฉากหลัง จากการฟังบรรยายของอ.จิ๋ว จับใจความได้ว่า ในสมัยก่อนงานของสุขโขทัยจะใช้อิฐ ไม่ได้ใช้ศิลาแลงเนื่องจากว่าจะได้เป็นการประหยัดแรงงาน การเปลือยวัสดุเหลือเพียงระนาบ ทำให้เกิดเป็นงานที่ลักษณะของ Modern ออกมาเพราะเปลือยวัสดุ ไปต่อกันที่วัดศรีสวาย วัดพระสี่อริยาบท และวัดศรีชุม ซึ่งวัดนีใช้การกำหนดสัดส่วนของวิหารหลอกตาทำให้พระประทานที่อยู่ด้านหลังที่ใหญ่อยู่แล้วดูใหญ่ยิ่งขึ้นไปอีก เนื่องจากวิหารเป็นขนาด Human Scale มากๆ หากไม่มีต้นมะม่วงด้านข้างมาเทียบเราจะคิดว่าวิหารนี้ใหญ่กว่าความเป็นจริง พวกเราไปถึงช้าจึงไม่สามารถเดินเข้าไปถ่ายรูปพระประทานด้านในได้ ด้วยความชอบส่วนตัวรู้สึกว่าพระพุทธรูปของสุโขทัยนั้นมี ความอ่อนช้อย สวยงามมีเมตตามาก และยังมีเรื่องของสัดส่วนที่สวยงามอีก ไม่น่าเชื่อว่าคนในยุคสมัยนั้นจะมีความสามารถมากมายและถ่ายทอดออกมาได้อย่างดีเยี่ยม ผ่านความศรัทธาที่มีอย่างแรกกล้าทำให้ทุกรายละเอียดหนักแน่นสมบูรณ์แบบ หลังจากออกจากวัดเราไปแวะกันที่ สฤกษ์พงศ์ ชมความงามในแบบธรรมชาติล้วนๆไม่มีงานสถาปัตยกรรม จนอิ่มหนำสำราญแล้วก็ขึ้นรถกลับที่พัก พรุ่งนี้ก็วันสุดท้ายแล้วน่อ
วันนี้ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อกลับไปที่วัดพระศรีมหาธาตุเชลียง ต้องออกจากที่พักตั้งแต่ตีห้า แต่ด้วยความคิดที่ว่า ออกจากที่พักตีห้าครึ่ง เลยทำให้ห้องของพวกเรากรี๊ด เมื่อมีคนบอกว่ารถกำลังจะออกแล้ว จากที่นอนเลื้อยกันอยู่บนเตียง ก็สะดุ้งขึ้นมาแปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อ แล้วโผล่ลงมาข้างล่างภายในเวลาไม่เกิน สามนาที ฮ่าๆๆ คิดดูว่าจะได้ผ่านน้ำกันมั๊ย หลังจากที่พวกเราลงมาได้สักครู่หนึ่ง รถก็เคลื่อนออกจากที่พักทันที เมื่อถึงวัด เราก็ฟังอาจารย์บรรยายเล็กน้อย และก็แยกย้ายไปถ่ายรูป เลยรีบเดินไปที่พระพุทธรูปปางลีลาที่อยู่ด้านซ้ายมือของวิหาร เมื่อมองหงายขึ้น พระพุทธรูปที่อยู่นิ่งๆนั้น เหมือนกับว่าทำท่าจะเดินออกมาจากแผงด้านหลัง ลายปูนฉาบที่เกลี่ยเป็นจีวรนั้นดูบางและพลิ้วไหวมาก พระพักตร์ดูมีเมตตา สวยงาม สัดส่วนที่เห็นจากการแหงนหน้ามองจากด้านล่างดูสมบูรณ์แบบมากกว่า การมองจากด้านหน้า เนื่องจากว่าช่างโบราณนั้นได้คิดผ่านการใช้สอยของชาวบ้าน เนื่องจากว่าโดยทั่วไปแล้วคนที่มาที่วิหารจะมองพระในลักษณะนั่งก้มกราบ โดยภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ใช้นั้นลึกซึ้งมาก หลังจากที่ชมความงดงามจนเพียงพอแล้ว ก็ไปดูที่บริเวณเจดีย์ด้านหลัง แล้วขึ้นไปมองลงมาจากด้านบนสวยงามมาก หลังจากนั้นก็เดินลงมาถ่ายภาพด้านล่างเก็บรายละเอียดส่วนต่างๆ และไปถวายเทียนพรรษาร่วมกัน
ออกจากวัดแล้วก็ไปต่อกันที่ วัดกุฎีลาย ซึ่งวัดนี้แสดงให้เราเก็นถึงการก่อประตูแบบ Corbel ที่เราเรียนกันในวิชา ประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม เนื่องจากว่าปูนที่ได้ฉาบไปกระเทาะร่อนหลุดออกมา ทำให้เราเห็นการก่ออย่างชัดเจน เมื่อมองแล้วก่อให้รู้สึกว่า ขนาดสถานที่ที่ห่างไกลกันขนาดนี้ ยังมีเทคนิคและวิธีการที่เป็นรูปแบบเดียวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ และการที่เรียนในหนังสือ แล้วมาได้เห็นภาพจริงทำให้เราสามารถตรวจสอบตัวเองได้ว่า สิ่งที่เราเรียนมานั้นเราเข้าใจถูกต้องจริงหรือไม่ แล้วก็ขึ้นรถไปที่อุทยานสุขโขทัยเป็นที่ต่อไป วัดต่อมาชื่อวัดมหาธาตุสุโขทัย การที่พวกเรามาที่สุโขทัยนั้น เราไม่มีวัดที่เป็นแบบอย่างที่ชัดเจน ไม่มีวิหารให้เห็นอย่างเต็มรูปแบบ เหลือแต่เพียงโครงสร้าง การเรียนรู้ในเรื่องระนาบ เหมือนกับที่เราเรียน visual ตอนปีหนึ่ง ทำให้เราฝึกความเข้าใจในเรื่องงานสถาปัตยกรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่นฝีมือและเทคนิคต่างๆของช่างสมัยก่อนที่มีมากมายน่าเหลือเชื่อ เดินต่อมายังวัดพลับพลายหลวงการแสดงพื้นผิวของหิน เส้นตั้งเส้นนอนที่มีความใหญ่เล็กหนาบาง ก่อให้เกิดมุมมอง ที่สวยงาม ถึงแม้ว่างานบางชิ้นนั้น ได้รับอิทธิพลมาจากที่เดียวกันแต่การคลี่คลายฝีมือของช่างก็จะทำให้งานที่อยู่ในที่ต่างๆมีเอกลักษณ์ เช่น เจดีย์ที่มีกลับขนุนของสุโขทัยนั้น การเซาะร่องการ ทำนูนสูง รายละเดียดต่างๆก็จะมีความแต่กต่างจากเจดีย์ที่ได้รับอิทธิพลจากขอม การทิ้งระยะทำให้เกิดความลอยตัวของ Form บางครั้งหากมีต้นไม้เยอเกินไปก็จะทำใหอาคารดูไม่สง่า จึงต้นให้ต้นม้เป็นส่วนเสริมของอาคาร แมสสลับซับซ้อนสัมพันธ์กับแมกไม้ที่เป็นฉากหลัง จากการฟังบรรยายของอ.จิ๋ว จับใจความได้ว่า ในสมัยก่อนงานของสุขโขทัยจะใช้อิฐ ไม่ได้ใช้ศิลาแลงเนื่องจากว่าจะได้เป็นการประหยัดแรงงาน การเปลือยวัสดุเหลือเพียงระนาบ ทำให้เกิดเป็นงานที่ลักษณะของ Modern ออกมาเพราะเปลือยวัสดุ ไปต่อกันที่วัดศรีสวาย วัดพระสี่อริยาบท และวัดศรีชุม ซึ่งวัดนีใช้การกำหนดสัดส่วนของวิหารหลอกตาทำให้พระประทานที่อยู่ด้านหลังที่ใหญ่อยู่แล้วดูใหญ่ยิ่งขึ้นไปอีก เนื่องจากวิหารเป็นขนาด Human Scale มากๆ หากไม่มีต้นมะม่วงด้านข้างมาเทียบเราจะคิดว่าวิหารนี้ใหญ่กว่าความเป็นจริง พวกเราไปถึงช้าจึงไม่สามารถเดินเข้าไปถ่ายรูปพระประทานด้านในได้ ด้วยความชอบส่วนตัวรู้สึกว่าพระพุทธรูปของสุโขทัยนั้นมี ความอ่อนช้อย สวยงามมีเมตตามาก และยังมีเรื่องของสัดส่วนที่สวยงามอีก ไม่น่าเชื่อว่าคนในยุคสมัยนั้นจะมีความสามารถมากมายและถ่ายทอดออกมาได้อย่างดีเยี่ยม ผ่านความศรัทธาที่มีอย่างแรกกล้าทำให้ทุกรายละเอียดหนักแน่นสมบูรณ์แบบ หลังจากออกจากวัดเราไปแวะกันที่ สฤกษ์พงศ์ ชมความงามในแบบธรรมชาติล้วนๆไม่มีงานสถาปัตยกรรม จนอิ่มหนำสำราญแล้วก็ขึ้นรถกลับที่พัก พรุ่งนี้ก็วันสุดท้ายแล้วน่อ
ทริป อ.จิ๋ว 4-12 ก.ค.2552
12 ก.ค.2552 (วันที่ 9)
วันสุดท้ายแล้ว เก็บของออกจากที่พักขึ้นรถแล้วก็เตรียมตัวกลับบ้าน แต่ก่อนกลับเรายังมีที่ที่จะต้องแวะอยู่ คือวัดพระศรีมหาธาตุ วัดนี้มีลักษณะที่เชื่อมต่อกับสุโขทัย วิหารมีการซ้อนทับหลังคาถึง 5 ตับ ซึ่งวัดนี้ถือว่าเป็นสกุลช่างสุโขทัยที่ยังสมบูรณ์อยู่ โถงด้านหลังจะสูงท่สุดเนื่องจากว่าเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธชินราช วัดนี้จะมีพระสี่องค์ตั้งอยู่บริเวณทั้งสี่ทิศ เชื่อมประทานกับวิหารคด เห็นกันได้อย่างทะลุทะลวง ซึ่งอารมณ์และจิตวิญญาณที่เกิดจากอาคารที่มีคุณค่าสมบูรณ์คุณค่าจะเกิด หลังจากที่เราเดินดูที่วัดพระพุทธชินราชเสร็จ เราก็เดินข้างถนนไปยัง วัดที่อยู่ใกล้เคียง คือวัดราชบูรณะ วัดนี้ซ้อนหลังคาด้านข้างสามตับ ไม่มีฝ้าเพดานเช่นเดียวกันกับระเบียบของสุโขทัย บริเวณหัวเสาวางไม้กระดานพาดไว้เพื่อเป็นที่รับกลอนชายคาปีกนก หลังคาและช่อฟ้าเป็นแบบสุโขทัย เส้นสายต่างๆถูกกำหนดจากระเบียบ หน้าต่างได้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นบานเปิดตามการใช้สอย ซึ่งแต่เดิมรูปแบบของสุโขทัยนั้นจะเป็นช่องตั้ง แต่รัตนโกสินทร์จะเป็นแผ่นกระดาน แนวความคิดหลักของแบบสุโขทัยนั้น เป็นการคิดในลักษณะที่คิด Space เพื่อนำมารับคนที่มาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คิดถึงผู้ใช้อาคารมากกว่าการคำนึงถึงแมสของอาคาร และที่พิษณุโลกนี้ก็เป็นวัดที่มีระเบียบของสุโขทัยที่ยังเหลืออยู่มากที่สุด
วันนี้เป็นวันสุดท้ายจึงขอสรุปสิ่งต่างๆที่ได้จากการมาทริปในครั้งนี้ นอกจากได้รับความรู้ในเรื่องของภูมิปัญญาท้องถิ่นและรูปแบบสถาปัตยกรรมไทยทั้งแบบล้านนาสุโขทัยแล้ว สิ่งที่ได้มากกว่านั้นคือจิตใต้สำนึกที่สะท้อนอยู่ในตัวในฐานะที่ต่อไปอาจจะเป็นส่วนหนึ่งในงานสถาปัตยกรรม ทำให้ต้องคิดให้มากขึ้น เข้าใจความเป็นตัวตนของพื้นถิ่นเรา ไม่พยายามยัดเยียดความเป็นคนอื่นให้กับชาวบ้าน เพราะความเป็นพื้นถิ่นนั้นได้ถูกพัฒนาความรู้ ความเหมาะสมของงาน ตามประสบการณ์ที่ถูกถ่ายทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นนั้นได้ผ่านการคัดกรองมาอย่างดีแล้ว แต่วิทยาการสมัยใหม่นี้ยังไม่ได้รับการคัดสรรอย่างดี บางครั้งเราก็ยัดเยียดเทคโนโลยีที่ขัดกับความเป็นอยู่ของพวกเขาเหล่านั้นให้กับเข้ามากเกินไป ซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นการส่งผลดีต่อความเป็นบ้าน เป็นเมือง เป็นชุมชนของเราเลย จึงมาย้อนคิดว่าเรายัดเยียดความเป็นใครให้กับเขา เขารู้ตัวตนของเขาดีมากกว่าเราด้วยซ้ำ เพียงแต่ไม่สามารถแสดงออกมาได้ เพียงเพราะถูกกรอบของการศึกษามากำหนดไว้ หลังจากที่ไปเห็นงานพื้นถิ่นตามหมู่บ้านต่างๆแล้ว ต้องยอมรับจริงๆว่า การรับรู้ในเรื่องของ Space มุมมองต่างๆเช่น Visual ที่เราเรียนมานั้น จริงๆแล้วชาวบ้านในที่ต่างๆก็มีมาหรืออาจจะมีมากกว่า เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่สามารถสื่อสารออกมาเป็นตัวหนังสือได้เหมือนอย่างเรา การออกทริปครั้งนี้ปรับทัศนคติและมุมมองของข้าพเจ้าให้เปลี่ยนไปจากเดิมสิ่งที่เคยคิดว่าดี วันนี้มันอาจจะไม่ใช่ เมื่อก่อนเราเคยวิ่งไล่ตามใครอยู่ แต่ในความเป็นจริงแล้วข้างหน้าอาจจะไม่มีตัวตอนที่แท้จริง แต่ข้างหลังเป็นสิ่งที่สามารถแสดงออกมาได้ว่าสิ่งที่สร้างมาสำเร็จหรือบรรลุผลได้จริง บางครั้งการหยุดแล้วหันมามองข้างหลังบ้างก็คงจะดี หลายสิ่งสิ่งที่ไม่เคยเห็น เช่น การแสดงความคิดเกี่ยวกับทัศนคติของตนเองในงานวิชาชีพ เรื่องการอนุรักษ์ ทำให้เราทราบว่าวิชาชีพของเราไม่ได้เป็นเรื่องง่ายๆ ที่คิดจะทำอะไรก็ทำ เพราะว่าการทำสิ่งๆหนึ่งขึ้นมา นั้นเรียกได้ว่าเป็นการกระทบกระเทือนส่งผลถึงชีวิตความเป็นอยู่ของผู้อื่นอีกมากมาย ถึงแม้ว่าจะมีความคิดที่ไม่ตรงกันแต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ควรจะปรึกษาหารือเพื่อให้สิ่งที่จะทำเกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้ใช้
วันสุดท้ายแล้ว เก็บของออกจากที่พักขึ้นรถแล้วก็เตรียมตัวกลับบ้าน แต่ก่อนกลับเรายังมีที่ที่จะต้องแวะอยู่ คือวัดพระศรีมหาธาตุ วัดนี้มีลักษณะที่เชื่อมต่อกับสุโขทัย วิหารมีการซ้อนทับหลังคาถึง 5 ตับ ซึ่งวัดนี้ถือว่าเป็นสกุลช่างสุโขทัยที่ยังสมบูรณ์อยู่ โถงด้านหลังจะสูงท่สุดเนื่องจากว่าเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธชินราช วัดนี้จะมีพระสี่องค์ตั้งอยู่บริเวณทั้งสี่ทิศ เชื่อมประทานกับวิหารคด เห็นกันได้อย่างทะลุทะลวง ซึ่งอารมณ์และจิตวิญญาณที่เกิดจากอาคารที่มีคุณค่าสมบูรณ์คุณค่าจะเกิด หลังจากที่เราเดินดูที่วัดพระพุทธชินราชเสร็จ เราก็เดินข้างถนนไปยัง วัดที่อยู่ใกล้เคียง คือวัดราชบูรณะ วัดนี้ซ้อนหลังคาด้านข้างสามตับ ไม่มีฝ้าเพดานเช่นเดียวกันกับระเบียบของสุโขทัย บริเวณหัวเสาวางไม้กระดานพาดไว้เพื่อเป็นที่รับกลอนชายคาปีกนก หลังคาและช่อฟ้าเป็นแบบสุโขทัย เส้นสายต่างๆถูกกำหนดจากระเบียบ หน้าต่างได้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นบานเปิดตามการใช้สอย ซึ่งแต่เดิมรูปแบบของสุโขทัยนั้นจะเป็นช่องตั้ง แต่รัตนโกสินทร์จะเป็นแผ่นกระดาน แนวความคิดหลักของแบบสุโขทัยนั้น เป็นการคิดในลักษณะที่คิด Space เพื่อนำมารับคนที่มาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คิดถึงผู้ใช้อาคารมากกว่าการคำนึงถึงแมสของอาคาร และที่พิษณุโลกนี้ก็เป็นวัดที่มีระเบียบของสุโขทัยที่ยังเหลืออยู่มากที่สุด
วันนี้เป็นวันสุดท้ายจึงขอสรุปสิ่งต่างๆที่ได้จากการมาทริปในครั้งนี้ นอกจากได้รับความรู้ในเรื่องของภูมิปัญญาท้องถิ่นและรูปแบบสถาปัตยกรรมไทยทั้งแบบล้านนาสุโขทัยแล้ว สิ่งที่ได้มากกว่านั้นคือจิตใต้สำนึกที่สะท้อนอยู่ในตัวในฐานะที่ต่อไปอาจจะเป็นส่วนหนึ่งในงานสถาปัตยกรรม ทำให้ต้องคิดให้มากขึ้น เข้าใจความเป็นตัวตนของพื้นถิ่นเรา ไม่พยายามยัดเยียดความเป็นคนอื่นให้กับชาวบ้าน เพราะความเป็นพื้นถิ่นนั้นได้ถูกพัฒนาความรู้ ความเหมาะสมของงาน ตามประสบการณ์ที่ถูกถ่ายทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นนั้นได้ผ่านการคัดกรองมาอย่างดีแล้ว แต่วิทยาการสมัยใหม่นี้ยังไม่ได้รับการคัดสรรอย่างดี บางครั้งเราก็ยัดเยียดเทคโนโลยีที่ขัดกับความเป็นอยู่ของพวกเขาเหล่านั้นให้กับเข้ามากเกินไป ซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นการส่งผลดีต่อความเป็นบ้าน เป็นเมือง เป็นชุมชนของเราเลย จึงมาย้อนคิดว่าเรายัดเยียดความเป็นใครให้กับเขา เขารู้ตัวตนของเขาดีมากกว่าเราด้วยซ้ำ เพียงแต่ไม่สามารถแสดงออกมาได้ เพียงเพราะถูกกรอบของการศึกษามากำหนดไว้ หลังจากที่ไปเห็นงานพื้นถิ่นตามหมู่บ้านต่างๆแล้ว ต้องยอมรับจริงๆว่า การรับรู้ในเรื่องของ Space มุมมองต่างๆเช่น Visual ที่เราเรียนมานั้น จริงๆแล้วชาวบ้านในที่ต่างๆก็มีมาหรืออาจจะมีมากกว่า เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่สามารถสื่อสารออกมาเป็นตัวหนังสือได้เหมือนอย่างเรา การออกทริปครั้งนี้ปรับทัศนคติและมุมมองของข้าพเจ้าให้เปลี่ยนไปจากเดิมสิ่งที่เคยคิดว่าดี วันนี้มันอาจจะไม่ใช่ เมื่อก่อนเราเคยวิ่งไล่ตามใครอยู่ แต่ในความเป็นจริงแล้วข้างหน้าอาจจะไม่มีตัวตอนที่แท้จริง แต่ข้างหลังเป็นสิ่งที่สามารถแสดงออกมาได้ว่าสิ่งที่สร้างมาสำเร็จหรือบรรลุผลได้จริง บางครั้งการหยุดแล้วหันมามองข้างหลังบ้างก็คงจะดี หลายสิ่งสิ่งที่ไม่เคยเห็น เช่น การแสดงความคิดเกี่ยวกับทัศนคติของตนเองในงานวิชาชีพ เรื่องการอนุรักษ์ ทำให้เราทราบว่าวิชาชีพของเราไม่ได้เป็นเรื่องง่ายๆ ที่คิดจะทำอะไรก็ทำ เพราะว่าการทำสิ่งๆหนึ่งขึ้นมา นั้นเรียกได้ว่าเป็นการกระทบกระเทือนส่งผลถึงชีวิตความเป็นอยู่ของผู้อื่นอีกมากมาย ถึงแม้ว่าจะมีความคิดที่ไม่ตรงกันแต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ควรจะปรึกษาหารือเพื่อให้สิ่งที่จะทำเกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้ใช้
วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2552
พระพรหมพิจิตร
ประวัติพระพรหมพิจิตร
พระพรหมพิจิตร (อู๋ ลาภานนท์) เกิดวันที่ 27 กันยายน พ.ศ.2433 ภายหลังเปลี่ยนชื่อและนาสกุล ตามบรรดาศักด์ที่เลิกใช้เป็นนายพรหม พรหมพิจิตร และได้รับตำแหน่งเป็นราชบัณฑิต ในวิชาวิจิตรศิลป์ สาขาจิตกรรมสำนักศิลปกรรม สภาวัฒนธรรมแห่งชาติ
การศึกษา
ปี พ.ศ.2433 ได้ศึกษาหนังสือไทยที่โรงเรียนมหาพฤฒาราม และเข้าเป็นช่างเขียนในกรมโยธา กระทรวงโยธาธิการ พ.ศ.2477
การรับราชการ
พ.ศ.2451 ได้บรรจุเป็นช่างเขียนกรมโยธาธิการ
พ.ศ.2455 กรมโยธาธิการเปลี่ยนนามมาเป็นกรมศิลปากร ย้ายมารับราชการในกรมศิลปากร
พ.ศ.2468 ย้ายไปรับราชการในกรมรองาน กระทรวงวัเป็นเวลา 1 เดือน
พ.ศ.2469 รับหน้าที่อาจารย์แผนกศิลปากรสถานราชบัณฑิตยสภา
พ.ศ.2476 ราชบัณฑิตยสภายุบลง ย้ายมารับราชการในกรมศิลปากร
พ.ศ.2493 เกษียนอายุราชการ ออกรับพระราชทานบำนาญ
ตำแหน่งราชการหน้าที่พิเศษ
-ช่างเขียนชั้น 4,3,2 –ครูเอกชั้น 1 ประณีตศิลปกรรม- ช่างเอกชั้น 1 สถาปัตยกรรม- อาจารย์เอกสถาปัตยกรรม- สถาปนิกกองสถาปัตยกรรม- หัวหน้ากองประณีตศิลปกรรม- หัวหน้ากองหัตถศิลป- ที่ปรึกษาฝ่ายศิลป ประจำกรมศิลปกร-กรรมการสำนักวัฒนธรรมศิลปกรรม- อาจารย์เอกคณะศิลปไทย ครูวาดเขียนเอกโรงเรียนเพาะช่าง- อาจารย์พิเศษคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย- ผู้ก่อตั้งและดำรตำแหน่งคณะบดีคนแรกของคณะสถาปัตยกรรมไทย มหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อพ.ศ. 2498
ยศ บรรดาศักดิ์ และเครื่องราชอิสริยาภรณ์
พ.ศ. 2456 รองเสวกตรี ขุนบรรจงเลขา
พ.ศ. 2462 ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เบญจมาภรณ์มงกุฎไทย
พ.ศ. 2463 เป็นหลวงสมิทธิเลขา
พ.ศ. 2466 รองเสวกโท หลวงสมิทธิเลขา
พ.ศ. 2467 ได้รับพระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา
พ.ศ. 2471 รองอำมาตย์เอก พระพรหมพิจิตร
พ.ศ. 2480 ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ จัตุรถาภรณ์มงกุฎไทย และเหรียญจักรพรรดิมาลา
พ.ศ. 2482 ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ จัตุรถาภรณ์ช้างเผือก
พ.ศ. 2483 ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ตริตาภรณ์มงกุฎไทย
พ.ศ. 2485 ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ตริตาภรณ์ช้างเผือก
ชีวิตครอบครัว
สมรสกับพวงเพ็ญ เกิดบุตรด้วยกัน 2 คน คือ
1. พันเอก สมฤทธิ์ พรหมพิจิตร (ถึงแก่กรรม)
2.พันเอก กัมพล พรหมพิจิตร
อาจารย์ พระพรหมพิจิตร ป่วยเป็นโรคหัวใจพิการ ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2508 สิริชนมายุได้ 75 ปี และได้รับพระราชทานเพลิงศพ ณ เมรุวัดจักรวรรดิราชาวาส กรุงเทพมหานคร วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2508
ผลงานอนุสรณ์สำคัญ
อาจารย์พระพรหมพิจิตร เป็นผูมีความสามารถรอบรู้เรื่องช่างศิลป์ โดยเฉพาะเชี่ยวชาญเรื่อง สถาปัตยกรรมไทย ทั้งปฏิบัติเองหรือให้คำปรึกษา ซึ่งมีตัวอย่างงานออกแบบดังนี้
1.เขียนตำรา “พุทธศิลปสถาปัตยกรรม” ภาคต้น
2.ออกแบบก่อสร้าง ศาลาโรงธรรม วัดพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี
3.ออกแบบอาคารหลักก่อสร้างและวางผัง วัดพระศรีมหาธาตุบางเขน กรุงเทพมหานคร
4.ออกแบบก่อสร้าง ศาลาการเปรียญ เมรุ หอระฆัง ซุ้มประตู วัดจักรวรรดิราชาวาส กรุงเทพมหานคร
5.ออกแบบก่อสร้างศาลาการเปรียญ และรั้วด้านหน้า วัดปทุมคงคา กรุงเทพมหานคร
6.ออกแบบก่อสร้าง ศาลาการเปรียญ และเมรุวัดไตรมิตรวิทยาราม กรุงเทพมหานคร
7.ออกแบบก่อสร้าง ศาลาการเปรียญวัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม กรุงเทพมหานคร
8.ออกแบบก่อสร้างหอระฆัง วัดยานนาวา กรุงเทพฯ
9.ออกแบบก่อสร้างพระอุโบสถ วัดมณฑป จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
10.ออกแบบก่อสร้างศาลาการเปรียญ และรั้วกั้นเขตสังฆวาส วัดพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม
11.ออกแบบก่อสร้างพระเจดีย์ยุทธหัตถี จังหวัดสุพรรณบุรี
12.ออกแบบก่อสร้างหอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรุงเทพฯ
13.ออกแบบพระเมรุมาศถวายพระเพลิงพระบรมศพ รัชกาลที่ 8
14.ออกแบบพระเมรุมาศถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ณ ท้องสนามหลวง
15.ออกแบบก่อสร้างอาคารประกอบพิธีฉลอง 25 พุทธศตวรรษ ณ ท้องสนามหลวง
16.ออกแบบก่อสร้างอาคารศาลาไทยจัดแสดงงาน ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
17.ออกแบบก่อสร้างซุ้มประตูสวัสดิโสภา ทางเข้าวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
18.ออกแบบก่อสร้างประตูดุสิตศาสดา ในพระบรมมหาราชวัง
19.ออกแบบห้องเก็บพระบรมอัฐิพระบรมวงศานุวงศ์ รวมทั้งการตกแต่งภายใน ที่หอพระราควัดพระศรีรัตนศาสดาราม
20.ออกแบบก่อสร้างอนุเสาวรีย์พระยารัษานุประดิษฐ์ฯ จังหวัดตรัง
21.ออกแบบดวงตราพระคเณศ ประจำกรมศิลปากร
22.ออกแบบตราเครื่องหมายประจำกระทรวง ทบวง กรม และจังหวัดต่างๆ หลายจังหวัด
23.ออกแบบปรับปรุงตราประจำตัวของเจ้าพระยาสมเด็จสุเรนทราธิบดี (ม.ร.ว.เปีย มาลากุล)
24.ออกแบบม่านเทพนมหน้าเวทีโรงละครแห่งชาติ
25.ออกแบบพระโกศทองคำบรรจุพระบรมอัฐิ รัชกาลที่ 8 ฯลฯ
นอกจากนี้ในวัยหนุ่ม อาจารย์พระพรหมพิจิตร ยังเป็นลูกมือช่วยคัดลอกลงเส้นในงานออกแบบเขียนลาน รวมทั้งทำหน้าที่ควบคุมการก่อสร้างต่างๆ ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ สำเร็จด้วยดีทุกครั้ง และเป็นศิษย์ที่สมเด็จครู ทรงโปรดปรานพระทัย เรียกหาใช้สอยใกล้ชิดผู้หนึ่ง
ศาสตราจารย์พระพรหมพิจิตรกับงานคอนกรีตในสถาปัตยกรรมไทย
ในสถาปัตยกรรมไทยนั้นเดิมทีมีโครงสร้างเป็นไม้ ต่อมาอาคารประเภทพระอุโบสถ พระวิหาร การเปรียญกุฏิ ได้เริ่มมีตัวอาคารกลายเป็นอิฐ ปูน แต่องค์ประกอบทุกอย่างของหลังคาไม่ว่าจะเป็นรวย ลำยอง ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ลายหน้าบัน ลายอุดปีกนก ลายอุดเต้า กระจังฐานพระ แผงแรคอสอง กรอบหน้านาง ลายรวงผึ้ง ลายสาหร่าย หรือแม้แต่นกนาคก็ยังคงทำด้วยไม้มิได้เปลี่ยนแปลง รวมไปถึงหลังคาอาคารต่างๆอีกมากมายด้วย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยอด หรือพระที่นั่ง ทั้งหมดล้วนยังคงเป็นไม้ อันเป็นเหตุทำให้เมื่อการเวลาผ่านนานไปทำให้โครงสร้างไม้เหล่านั้นถูกกาลเวลาทำให้หายสาบสูญไปอย่างน่าเสียดาย
เมื่อต้องการความคงทนที่ง่ายต่อการดูแลรักษา จึงเกิดวิธีใช้ไม้เป็นโครงสร้างแล้วก่ออิฐฉาบปูน องค์ประกอบสิ่งตกแต่งก็จะเป็นปูน ด้วยวิธีการนั้นการหล่อแล้วนำไปตกแต่งจึงเกิดขึ้นและเนื่องจากการที่แต่เดิมนั้นลวดลายต่างๆได้เกิดขึ้นจากการทำด้วยไม้ทำให้ปูนที่ถูกใช้นำมาตกแต่งมีทรวดทรงเป็นลักษณะเหมือนทำด้วยไม้ทุกอย่าง ทั้งนี้เนื่องมาจากช่างไทยในสมัยก่อนนั้นยังไม่ทราบถึงคุณสมบัติของปูนอย่างแท้จริง
ต่อมาเมื่อศาสตราจารย์พระพรหมพิจิตร (อู๋ ลาภานนท์) ท่านได้เริ่มเข้าใจถึงคุณสมบัติของปูนหรือคอนกรีตแล้ว ดังจะเห็นได้จากสิ่งตกแต่งของเครื่องปิดเครื่องมุง ทั้งที่เป็นรวยระกา หางหงส์ ที่มีสัดส่วนที่สั้นลง ลวดลายต่างๆที่ปลายจะสะบัดไม่มากเท่าไม้ ซึ่งงานสถาปัตยกรรมของท่านที่แสดงให้เห็นถึงเรื่องนี้ก็คือพระอุโบสถวัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน พระอุโบสถวัดมณฑป อยุธยา
เมื่อศาสตราจารย์พระพรหมพิจิตรได้ผลิตผลงานสถาปัตยกรรมไทยชิ้นต่อๆมา ท่านจึงได้เข้าใจถึงคุณสมบัติของคอนกรีตเป็นอย่างดี ผลงานของท่านจึงแสดงให้เห็นถึงอัจฉริยะในการสร้างสรรค์งานคอนกรีตในสถาปัตยกรรมไทย ท่านได้ปรับปรุง รูปทรง สัดส่วน ลักษณะ และจังหวะของงานสถาปัตยกรรมไทยให้เหมาะสมกับงานคอนกรีตงานชิ้นเอกของท่านที่แสดงออกถึงสิ่งเหล่านี้คือ ประตูพระบรมหาราชวังด้านหน้าวัดพระศรีรัตนศาสดารามที่มีชื่อว่า ประตูสวัสดิโสภา ที่ท่านเป็นผู้ออกแบบ ท่านคงได้ศึกษารูปทรงของของประตูยอดปรางค์เก่าผสมกับความเข้าใจในสมบัติของคอนกรีต ท่านจึงได้คัดรูปแบบต่างๆทั้งตัวประตู ยอด รวมทั้งองค์ประกอบ ที่สามารถสร้างโดยใช้คอนกรีตแต่ยังคงรูปร่างไม่ผิดไปจากลักษณะเดิมเลย
นับได้ว่าศาสตราจารย์พระพรหมพิจิตรเป็นช่างหรือ สถาปนิกท่านแรกที่ริเริ่ม และบุกเบิกในการนำคอนกรีตมาใช้ในงานสถาปัตยกรรมไทยให้ประสบผลสำเร็จอย่างเป็นเลิศในประเทศไทย
แม่..
แม่...หากเอ่ยถึงคำนี้ คงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก และไม่เข้าใจความหมาย...
แม่...เป็นคำที่ลูกเกือบทุกคนพูดได้เป็นคำแรก...
แม่...เป็นคนแรกที่ทำให้รู้ถึงความรักความห่วงใย ที่คนๆหนึ่งจะมีให้คนอีกคนหนึ่ง...
แม่...เพียงคำพูดอาจจะดูธรรมดา คำสั้นๆคำหนึ่ง ที่แสดงถึงความหมายที่ยิ่งใหญ่...เพราะคำนี้แสดงถึงคุณค่าของชีวิต เป็นผู้สร้างชีวิตหนึ่งหรือหลายๆชีวิตขึ้นมา บนโลก
ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร หรือมาจากไหน คุณปฏิเสธ ไม่ได้ว่า คุณไม่มีแม่...ผู้หญิงคนหนึ่งที่ให้กำเนิดคุณมา ให้ชีวิตและลมหายใจของคุณบนโลกกลมๆใบนี้ ความรักที่แม่มีให้กับลูกนั้นมันช่างยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะบรรยายเป็นคำพูดได้
ชีวิตเก้าเดือนแรกของข้าพเจ้า ถูกห่อหุ้มด้วยความรักและความห่วงใย อยู่ในท้องของแม่ ในขณะที่ข้าพเจ้าตัวเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ ก็แสดงให้เป็นว่าความเจ็บปวด เหนื่อยและทรมานของแม่นั้นก็มีมากขึ้นตาม แต่แม่ก็ยังคอยเฝ้าประคบประหงมให้ตัวข้าพเจ้าใหญ่ขึ้น เพราะกลัวจะไม่แข็งแรง ทั้งๆที่แม่เองนั้นต้องทำงานหนัก นอนดึกตื่นเช้า และเลี้ยงดูพี่ชายอีกสองคน ซึ่งบ้านของข้าพเจ้าก็ไม่ได้มีทรัพย์สินอะไรมากมาย แต่ตั้งแต่ข้าพเจ้าเกิดมา ก็ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดมาตลอด ถึงแม้ว่าหากคนอื่นมอง มันอาจจะเป็นสิ่งที่ธรรมดา แต่มันก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่แม่คนหนึ่งพยายามจะหามาให้ลูกได้
น้ำนมจากแม่...สิ่งที่มีคุณค่าที่สุดสำหรับทารก กลั่นออกมาจากเลือด...เมื่อตอนเด็กๆ ข้าพเจ้าเป็นเด็กงอแง ร้องไห้ เรื่องมาก ไม่ยอมดื่มนมกระป๋อง ยอมดื่มเพียงแค่น้ำนมจากแม่ ทำให้แม่ของข้าพเจ้าต้องให้นมเกินกว่าที่ปกติแล้วผู้หญิงคนหนึ่งจะให้นมลูก ข้าพเจ้าดื่มน้ำนมแม่จนข้าพเจ้าจำความได้ จนถึงตอนนี้กระดูกของแม่ข้าพเจ้านั้นผุ ซึ่งมันก็เร็วกว่าวัยที่ควรจะเป็น แม่เป็นโรคข้อสะโพกเสื่อมต้องได้รับการผ่าตัด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสิ่งที่แม่สูญเสียไปเหล่านั้นมันกลายมาเป็นตัวของข้าพเจ้าในทุกวันนี้ ยอมเสียสละตัวเองเพื่อให้ลูกแข็งแรง แต่แม่ก็ยังไม่เคยพูดหรือโทษข้าพเจ้าเลย ถึงในตอนนี้แม่ก็ยังต้องต่อสู้กับความเจ็บปวดเพียงลำพัง
เมื่อตอนข้าพเจ้าเล็กๆ ข้าพเจ้าจะชอบไปรับพี่ชายที่โรงเรียนกับแม่ เพราะว่าที่หน้าโรงเรียนของพี่ชายนั้น จะมีร้านขายขนมมากมาย จึงอยากไปเพียงแค่คิดว่า อยากกินขนม แม่จึงต้องอุ้มข้าพเจ้าเดินไปรับพี่ชาย หากลองนึกถึงภาพผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องทั้งอุ้มทั้งจูง ลูกสองคนเดินข้ามถนนกลับบ้านทั้งหนักทั้งเหนื่อยและร้อนแต่แม่ก็ยังคงทำเหมือนมันเป็นเรื่องสบาย เมื่อถึงเวลาที่ข้าพเจ้าเข้าเรียน แม่ก็ไม่ยอมปล่อยให้ข้าพเจ้านั่งรถโรงเรียน หรือไปเรียนเอง ถึงแม้ว่างานของแม่จะยุ่งแค่ไหน แม่ก็ยังคงต้องตื่นมาทำอาหารเช้าให้กินก่อนไปโรงเรียนเสมอ และพาไปส่งที่โรงเรียน วันแรกที่ไปโรงเรียนแม่ของข้าพเจ้า นั่งเฝ้าข้าพเจ้าหน้าห้องเรียนทั้งวัน กลัวว่าถ้าหากข้าพเจ้าร้องไห้อยากกลับบ้าน แล้วไม่เจอแม่ข้าพเจ้าจะรู้สึกไม่ดี เมื่อใดก็ตามที่ข้าพเจ้าเดินออกจากห้องเรียน หากมองไปที่บันได จะมีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่และยิ้มให้ทุกครั้ง อาจเป็นเพราะเหตุนี้ที่ทำให้ข้าพเจ้าไม่กลัวการไปโรงเรียนก็เป็นได้ แม่เคยกลัวว่าข้าพเจ้าเลิกเรียนแล้วไม่เจอใครจะร้องไห้ แม่จึงต้องมานั่งเฝ้าก่อนเวลาเลิกเรียนสองชั่วโมงทุกครั้ง เมื่อเลิกเรียนเดินลงมาจากชั้นเรียนก็จะเห็นมองที่นั่งคอยอยู่ทันที จนถึงทุกวันนี้ที่ข้าพเจ้าเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย ความห่วงใยที่แม่มีต่อข้าพเจ้าตั้งแต่เกิดนั้น ยังเหมือนเดิม แม่จะต้องคอยถามคอยห่วงใย แม้ว่าข้าพเจ้าจะกลับดึกไหนแม่ก็ยังคงนอนรออยู่ที่โซฟา เพื่อเปิดประตูรับข้าพเจ้า และถามว่า กินข้าวมาแล้วหรือยัง ในทุกครั้ง ถ้ายังไม่ได้กินมาแม่ก็จะรีบหาข้าวให้กินทันที
สมัยตอนที่ข้าพเจ้าอยู่ในช่วงประถมพ่อกับแม่ต้องไปทำงานอีกที่หนึ่ง แต่ท่านก็ต้องหาเงินมาเซ๊งบ้านให้ข้าพเจ้าเรียนกับพี่ชายที่ยังไม่จบ เพื่อให้ข้าพเจ้าไม่ต้องเดินทางไกลๆมายังโรงเรียน ทั้งๆที่เงินของท่านนั้นแทบจะเรียกได้ว่าหมดกระเป๋า ซึ่งแม่จะต้องไปทำงานอีกที่หนึ่ง ทำให้ช่วงนั้นข้าพเจ้าต้องแยกกันอยู่กับแม่ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเวลาสั้นๆ ครั้งละไม่กี่วัน แต่เมื่อนานๆเข้า ข้าพเจ้าจึงคิดว่า ทำไมเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน เหมือนกับคนอื่น จึงต้องแอบร้องไห้คนเดียวบ่อยๆ แต่ก็เข้าใจว่าท่านเองนั้นก็ไม่ได้อยากแยกจากลูก และที่ทำไปนั้นก็เพราะว่าจำเป็นที่จะต้องเลี้ยงดูเรา ต้องทำงานหนัก เดินทางไกลๆไปมา ระหว่างบ้านกับที่ทำงาน แต่ท่านก็ไม่เคยปล่อยให้ข้าพเจ้าต้องไปโรงเรียนหรือกลับจากโรงเรียนเอง ไม่ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหน ท่านก็ต้องปรากฎตัวมารับข้าพเจ้ากลับบ้านก่อนเสมอ
ข้าพเจ้าเคยทำให้แม่เสียใจด้วยการเถียงแม่ ทั้งที่รู้ว่าสิ่งที่แม่พูดนั้นเป็นความปรารถนาดีต่อเราทั้งสิ้น แต่ท่านก็พร้อมที่จะให้อภัยเราเสมอ สิ่งที่แม่ทำให้แก่ข้าพเจ้านั้น ท่านทำให้โดยไม่หวังอะไรตอบแทน และทำอย่างมีความสุขถึงแม้ว่างานที่ทำมันจะทั้งหนักและก็น่าเบื่อก็ตาม ข้าพเจ้ากับแม่สนิทกันมาก เวลาที่มีเรื่องไม่สบายใจแม่จะจะสังเกตุเห็นได้ทุกครั้ง และเมื่อปรึกษาแม่ก็จะให้คำตอบที่ดีได้เสมอ และไม่เคยซ้ำเติมลูก
ความรักที่ยิ่งใหญ่ที่แม่มีให้นั้น มันคงไม่สามารถที่จะเล่าออกมาในกระดาษเพียงแผ่นเดียว แต่สำหรับข้าพเจ้านั้น มันยิ่งใหญ่มาก เรื่องราวต่างๆที่ผ่านมากว่า 20 ปี ที่แม่พยายามทำสิ่งต่างๆให้แก่ลูก แล้วขณะนี้ร่างกายของแม่ก็เริ่มถดถอยลงเรื่อยๆ ข้าพเจ้าอยากให้แม่มีสุขภาพแข็งแรง อยากให้แม่มีความสุข และดูแลแม่ให้ได้เหมือนที่แม่เคยทำให้มา ต่อจากนี้ไปจะไม่ทำให้แม่เหนื่อยอีกแล้ว อยากบอกว่ารักแม่ทุกเวลา
แม่...เป็นคำที่ลูกเกือบทุกคนพูดได้เป็นคำแรก...
แม่...เป็นคนแรกที่ทำให้รู้ถึงความรักความห่วงใย ที่คนๆหนึ่งจะมีให้คนอีกคนหนึ่ง...
แม่...เพียงคำพูดอาจจะดูธรรมดา คำสั้นๆคำหนึ่ง ที่แสดงถึงความหมายที่ยิ่งใหญ่...เพราะคำนี้แสดงถึงคุณค่าของชีวิต เป็นผู้สร้างชีวิตหนึ่งหรือหลายๆชีวิตขึ้นมา บนโลก
ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร หรือมาจากไหน คุณปฏิเสธ ไม่ได้ว่า คุณไม่มีแม่...ผู้หญิงคนหนึ่งที่ให้กำเนิดคุณมา ให้ชีวิตและลมหายใจของคุณบนโลกกลมๆใบนี้ ความรักที่แม่มีให้กับลูกนั้นมันช่างยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะบรรยายเป็นคำพูดได้
ชีวิตเก้าเดือนแรกของข้าพเจ้า ถูกห่อหุ้มด้วยความรักและความห่วงใย อยู่ในท้องของแม่ ในขณะที่ข้าพเจ้าตัวเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ ก็แสดงให้เป็นว่าความเจ็บปวด เหนื่อยและทรมานของแม่นั้นก็มีมากขึ้นตาม แต่แม่ก็ยังคอยเฝ้าประคบประหงมให้ตัวข้าพเจ้าใหญ่ขึ้น เพราะกลัวจะไม่แข็งแรง ทั้งๆที่แม่เองนั้นต้องทำงานหนัก นอนดึกตื่นเช้า และเลี้ยงดูพี่ชายอีกสองคน ซึ่งบ้านของข้าพเจ้าก็ไม่ได้มีทรัพย์สินอะไรมากมาย แต่ตั้งแต่ข้าพเจ้าเกิดมา ก็ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดมาตลอด ถึงแม้ว่าหากคนอื่นมอง มันอาจจะเป็นสิ่งที่ธรรมดา แต่มันก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่แม่คนหนึ่งพยายามจะหามาให้ลูกได้
น้ำนมจากแม่...สิ่งที่มีคุณค่าที่สุดสำหรับทารก กลั่นออกมาจากเลือด...เมื่อตอนเด็กๆ ข้าพเจ้าเป็นเด็กงอแง ร้องไห้ เรื่องมาก ไม่ยอมดื่มนมกระป๋อง ยอมดื่มเพียงแค่น้ำนมจากแม่ ทำให้แม่ของข้าพเจ้าต้องให้นมเกินกว่าที่ปกติแล้วผู้หญิงคนหนึ่งจะให้นมลูก ข้าพเจ้าดื่มน้ำนมแม่จนข้าพเจ้าจำความได้ จนถึงตอนนี้กระดูกของแม่ข้าพเจ้านั้นผุ ซึ่งมันก็เร็วกว่าวัยที่ควรจะเป็น แม่เป็นโรคข้อสะโพกเสื่อมต้องได้รับการผ่าตัด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสิ่งที่แม่สูญเสียไปเหล่านั้นมันกลายมาเป็นตัวของข้าพเจ้าในทุกวันนี้ ยอมเสียสละตัวเองเพื่อให้ลูกแข็งแรง แต่แม่ก็ยังไม่เคยพูดหรือโทษข้าพเจ้าเลย ถึงในตอนนี้แม่ก็ยังต้องต่อสู้กับความเจ็บปวดเพียงลำพัง
เมื่อตอนข้าพเจ้าเล็กๆ ข้าพเจ้าจะชอบไปรับพี่ชายที่โรงเรียนกับแม่ เพราะว่าที่หน้าโรงเรียนของพี่ชายนั้น จะมีร้านขายขนมมากมาย จึงอยากไปเพียงแค่คิดว่า อยากกินขนม แม่จึงต้องอุ้มข้าพเจ้าเดินไปรับพี่ชาย หากลองนึกถึงภาพผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องทั้งอุ้มทั้งจูง ลูกสองคนเดินข้ามถนนกลับบ้านทั้งหนักทั้งเหนื่อยและร้อนแต่แม่ก็ยังคงทำเหมือนมันเป็นเรื่องสบาย เมื่อถึงเวลาที่ข้าพเจ้าเข้าเรียน แม่ก็ไม่ยอมปล่อยให้ข้าพเจ้านั่งรถโรงเรียน หรือไปเรียนเอง ถึงแม้ว่างานของแม่จะยุ่งแค่ไหน แม่ก็ยังคงต้องตื่นมาทำอาหารเช้าให้กินก่อนไปโรงเรียนเสมอ และพาไปส่งที่โรงเรียน วันแรกที่ไปโรงเรียนแม่ของข้าพเจ้า นั่งเฝ้าข้าพเจ้าหน้าห้องเรียนทั้งวัน กลัวว่าถ้าหากข้าพเจ้าร้องไห้อยากกลับบ้าน แล้วไม่เจอแม่ข้าพเจ้าจะรู้สึกไม่ดี เมื่อใดก็ตามที่ข้าพเจ้าเดินออกจากห้องเรียน หากมองไปที่บันได จะมีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่และยิ้มให้ทุกครั้ง อาจเป็นเพราะเหตุนี้ที่ทำให้ข้าพเจ้าไม่กลัวการไปโรงเรียนก็เป็นได้ แม่เคยกลัวว่าข้าพเจ้าเลิกเรียนแล้วไม่เจอใครจะร้องไห้ แม่จึงต้องมานั่งเฝ้าก่อนเวลาเลิกเรียนสองชั่วโมงทุกครั้ง เมื่อเลิกเรียนเดินลงมาจากชั้นเรียนก็จะเห็นมองที่นั่งคอยอยู่ทันที จนถึงทุกวันนี้ที่ข้าพเจ้าเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย ความห่วงใยที่แม่มีต่อข้าพเจ้าตั้งแต่เกิดนั้น ยังเหมือนเดิม แม่จะต้องคอยถามคอยห่วงใย แม้ว่าข้าพเจ้าจะกลับดึกไหนแม่ก็ยังคงนอนรออยู่ที่โซฟา เพื่อเปิดประตูรับข้าพเจ้า และถามว่า กินข้าวมาแล้วหรือยัง ในทุกครั้ง ถ้ายังไม่ได้กินมาแม่ก็จะรีบหาข้าวให้กินทันที
สมัยตอนที่ข้าพเจ้าอยู่ในช่วงประถมพ่อกับแม่ต้องไปทำงานอีกที่หนึ่ง แต่ท่านก็ต้องหาเงินมาเซ๊งบ้านให้ข้าพเจ้าเรียนกับพี่ชายที่ยังไม่จบ เพื่อให้ข้าพเจ้าไม่ต้องเดินทางไกลๆมายังโรงเรียน ทั้งๆที่เงินของท่านนั้นแทบจะเรียกได้ว่าหมดกระเป๋า ซึ่งแม่จะต้องไปทำงานอีกที่หนึ่ง ทำให้ช่วงนั้นข้าพเจ้าต้องแยกกันอยู่กับแม่ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเวลาสั้นๆ ครั้งละไม่กี่วัน แต่เมื่อนานๆเข้า ข้าพเจ้าจึงคิดว่า ทำไมเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน เหมือนกับคนอื่น จึงต้องแอบร้องไห้คนเดียวบ่อยๆ แต่ก็เข้าใจว่าท่านเองนั้นก็ไม่ได้อยากแยกจากลูก และที่ทำไปนั้นก็เพราะว่าจำเป็นที่จะต้องเลี้ยงดูเรา ต้องทำงานหนัก เดินทางไกลๆไปมา ระหว่างบ้านกับที่ทำงาน แต่ท่านก็ไม่เคยปล่อยให้ข้าพเจ้าต้องไปโรงเรียนหรือกลับจากโรงเรียนเอง ไม่ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหน ท่านก็ต้องปรากฎตัวมารับข้าพเจ้ากลับบ้านก่อนเสมอ
ข้าพเจ้าเคยทำให้แม่เสียใจด้วยการเถียงแม่ ทั้งที่รู้ว่าสิ่งที่แม่พูดนั้นเป็นความปรารถนาดีต่อเราทั้งสิ้น แต่ท่านก็พร้อมที่จะให้อภัยเราเสมอ สิ่งที่แม่ทำให้แก่ข้าพเจ้านั้น ท่านทำให้โดยไม่หวังอะไรตอบแทน และทำอย่างมีความสุขถึงแม้ว่างานที่ทำมันจะทั้งหนักและก็น่าเบื่อก็ตาม ข้าพเจ้ากับแม่สนิทกันมาก เวลาที่มีเรื่องไม่สบายใจแม่จะจะสังเกตุเห็นได้ทุกครั้ง และเมื่อปรึกษาแม่ก็จะให้คำตอบที่ดีได้เสมอ และไม่เคยซ้ำเติมลูก
ความรักที่ยิ่งใหญ่ที่แม่มีให้นั้น มันคงไม่สามารถที่จะเล่าออกมาในกระดาษเพียงแผ่นเดียว แต่สำหรับข้าพเจ้านั้น มันยิ่งใหญ่มาก เรื่องราวต่างๆที่ผ่านมากว่า 20 ปี ที่แม่พยายามทำสิ่งต่างๆให้แก่ลูก แล้วขณะนี้ร่างกายของแม่ก็เริ่มถดถอยลงเรื่อยๆ ข้าพเจ้าอยากให้แม่มีสุขภาพแข็งแรง อยากให้แม่มีความสุข และดูแลแม่ให้ได้เหมือนที่แม่เคยทำให้มา ต่อจากนี้ไปจะไม่ทำให้แม่เหนื่อยอีกแล้ว อยากบอกว่ารักแม่ทุกเวลา
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)