สมัยมัธยมศึกษา ก่อนที่จะมาเข้าเรียนทางด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์ คิดว่าสถาปนิกเป็นอาชีพที่ดูดี ดูเท่ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งการ บุคคลิกภาพ การวางตัว ที่เป็นตัวของตัวเอง เวลาเรียนก็แต่งตัวสบายๆ ทำตัวแบบไหนก็ไม่มีใครรู้สึกว่าแปลก ก่อให้เกิดความรู้สึกประทับใจ อีกทั้งได้เห็นพี่ชายที่เรียนทางด้านการออกแบบตกแต่งภายใน เขียนแบบยิ่งทำให้รู้สึกว่าอาชีพนี้ช่างแตกต่างนัก คนธรรมดาไม่มีใครจะสามารถอ่านแบบ และเขียนแบบได้ และด้วยความที่ตนเองนั้นเป็นเด็นที่ไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือเรียน ในขณะที่เพื่อนๆอ่านหนังสือเรียนเตรียมตัวสอบแทบตาย จึงได้ไปเรียนวาดภาพความถนัดทางสถาปัตยกรรมแทบเป็นแทบตายแทน เพื่อที่จะได้เข้าในคณะสถาปัตย์ฯ คิดว่าจบมาแล้วจะได้ออกแบบบ้านสักหลังให้พ่อแม่ และไม่ต้องใช้้ชีวิตเคร่งเครียดกับการอ่านหนังสือ จึงทำให้ใจมุ่งมาทางด้านนี้ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วยังมีอีกหลายหนทางที่เข้ามาให้เลือก เปรียบเสมือนการกระทำที่ตอบสนองตัณหาความต้องการของตนเอง ทำไปเพราะรู้สึกว่าอยาก ถ้าถามว่าในขณะนั้นรู้จักอาชีพนี้ดีพอหรือยังก็คงจะตอบได้ว่ารู้ แต่ไม่ได้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ถ่องแท้ ไม่ว่าเวลาเรียนพิเศษจะเห็นพี่ติวบอกว่า อย่าเข้าคณะนี้เลย เพราะมันจะกินเวลาส่วนตัวของเราทั้งหมด ข้าพเจ้าก็ยังไม่อยากเชื่อ และคิดว่าหากได้ทำในสิ่งที่ชอบและดู น่าสนุกขนานนี้ คงไม่รู้สึกหรอกว่าจะทำให้เราไม่มีเวลาส่วนตัว ตอนนั้นเรามองเห็นแต่ด้านดีๆ มองในแง่บวกอย่างเดียว ไม่ได้เห็นในด้านอื่นๆซึ่งมันก็เป็นความเป็นจริงของคณะี้นี้
เมื่อสอบติดคณะนี้ ในสัปดาห์แรกก็ทำให้ทราบได้แล้วว่า หนทางของการมีชีวิตในสายงานนี้คงจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่ตนเองคิดไว้ เป็นคนที่ไม่เคยนอนดึกเลยซักครั้ง แต่ชีวิตต้องหักเหเมื่อได้เข้าเรียนที่นี่ เพียงแค่ตอนที่อาจารย์มอบหมายงานวิชาเทคโนโลยีอาคารเป็นครั้งแรก ถึงแม้ว่าถ้ามองในขณะนี้มันก็เป็นเพียงแค่การเขียนรายการประกอบแบบง่ายๆ แต่รายการประกอบแบบที่เหมือนจะง่ายนี้ก็ได้ทำให้เด็กคนหนึ่งที่ไม่เคยอดนอนมาตลอดชีวิต 17 ปี อดนอนเป็นครั้งแรก เนื่องด้วย เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆที่คิดว่ามันเท่ๆ นั้น สำหรับเราที่ยังใช้ไม่ชินมันก็ไม่ได้ช่วยให้เราทำอะไรได้อย่างรวดเร็วเหมือนที่ผู้ออกแบบตั้งใจจะให้เป็น แต่ถึงอย่างไรการเรียนในปีแรกของข้าพเจ้าก็ยังรู้สึกตื่นเต้นและสนุกสนานตลอดเวลา อาจเป็นเพราะสิ่งต่างๆที่ได้ร่ำเรียนนั้น มันช้างแตกต่างกับตอนอยู่มัธยมศึกษาเสียเหลือเกิน ยิ่งพอได้ออกแบบตอนโปรเจคแรก รู้สึกว่า สนุกจัง แค่เปลี่ยนห้องครัวห้องหนึ่งเปลี่ยนไปเปลี่ยนมากว่าที่จะลงตัวก็ใช้เวลาไปสองอาทิตย์ ทุกอย่างดูตะกุกตะกักแแต่ก็เต็มไปด้วยความสนุก ถึงแม้งานจะหนักมันก็หนักเพราะเรายังไม่ชินกับมัน พอขึ้นปีสอง ความรู้สึกเหมือนกับสึนามิเข้าถล่ม งานสารพัดจะเข้ามาถาโถม อดหลับอดนอนกันจนถือเป็นเรื่องปกติ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะัยังคงไม่เชี่ยวชาญสักเท่าไหร่ แต่พอผ่านมาได้ก็รู้สึกโล่งใจว่าจริงๆแล้ว ในความเหนื่อยยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่เราได้กลับมา ก็คิดว่ามันก็ไม่แย่ซะทีเดียว ส่วนปีสามเป็นไปด้วยความสนุกสนาน ใช้ชีวิตสุขสบายหลังจากที่พายุพาดผ่านไป หารู้ไม่ว่าพายุลูกถัดมานี่จะหนักหนาขนาดไหน พอขึ้นปีสี่ ความกดดันต่างๆ ความเป็นเหตุเป็นผล รายละเอียดต่างๆที่มีในตัวงานก็เยอะขึ้น ตามมาด้วยความอดทน ความรับผิดชอบ และความพยายามของตัวเองก็ต้องเยอะขึ้นตาม ในปีนี้เองที่รู้สึกว่าท้อมาก ไม่เคยคิดว่าจะต้องมาทำ โปรเจคด้วยน้ำตา กับคำที่ว่า "ไม่รู้ว่าอาจารย์ท่านอื่นเป็นอย่างไร แต่ผมมาตรฐานสูงนะ" ในวันสุดท้ายของการส่งแบบร่าง ทำให้การลงเพลทในโปรเจคนั้น ต้องหลั่งน้ำตาเป็นครั้งแรก รู้สึกกดดันมาก ว่าทำไมเราทำเท่าไหร่ก็ยังไม่ดี ถึงแม้ว่าบางครั้งจะคิดว่าดีแล้ว แต่เราก็ไม่สามารถที่จะตัดสินงานตัวเองได้ อาจจะโดนล้มแบบวันสุดท้ายก็มีความเป็นไปได้สูง ถ้าถามว่าโกรธอาจารย์ท่านนั้นที่พูดอย่างนั้นไม่ พูดตามตรงคือไม่โกรธเลย แต่ก็รู้สึกท้อมากกว่า เพราะคำพูดนั้น เราเลยต้องตั้งใจทำงานมากขึ้น สุดท้ายมันก็ดีต่อผลงานเราเอง เลยทำให้เข้าใจว่า จะดีหรือไม่ดีมันก็เป็นงานของเรา เพราะฉะนั้นเราจะต้องตั้งใจทำมันออกมา เวลาที่เหนื่อยๆเราก็จะพาลและมัวแต่คิดว่า คิดผิดที่มาเลือกคณะนี้ ทั้งที่คณะที่สบายกว่านี้ เรียนสบายๆ หาเงินดี ก็มีตั้งเยอะ แต่พอผ่านมาได้ก็รู้สึกสบายใจ บางครั้งการที่เราถูกกดดันก็อาจจะเป็นแรงผลักดันอย่างหนึึ่่่งให้เราเคลื่อนที่ต่อ คณะนี้ก็สอนอะไรเรามากมาย พอได้ไปฝึกงานก็ยิ่งทำให้รู้ว่า สิ่งที่เราเรียนมานั้น มันยังน้อยนิดเมื่อเทียบกับความเป็นจริง เรายังต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะในโลกภายนอก ทั้งๆที่คิดว่าเรียนหนัก แต่บางครั้งการทำงานมันก็ไม่ได้อยู่ในตำรา
ในอนาคตก็ยังไม่ทราบได้ว่าจะได้ทำงานในสายอาชีพนี้หรือไม่ ถึงแม้ว่าใจอยากแต่อาจไม่ได้เป็นอย่างที่ต้องการเสมอไป อาชีพนี้ยังคงเป็นอาชีพที่มีความรู้ในหลายๆด้าน รู้ทุกอย่างในเชิงกว้าง ก็คิดนะว่าเหมือนเป็ดไปหรือเปล่า แต่อย่างน้อยเราก็ยังได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนที่เป็นสถาปนิกดูอายุน้อยกว่าวัย ก็รู้ว่าหนทางต่อไปก็ไม่ใช่ว่าจะสบาย แต่อย่างน้อยก็ยังอยากทำตราบใดที่ยังมีรู้สึกว่าสนุกอยู่
มาอ่านแล้ว......น่าสงสาร......แต่ชีวิตจริงยิ่งกว่านี้อ่ะ....
ตอบลบอ.ไกรทอง